สำหรับไทยนั้นอาจมองได้ว่ามีปัจจัยบวก 2 ปัจจัยและปัจจัยลบ 1 ปัจจัย กล่าวคือส่วนที่บวกได้แก่การที่ประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่มากนัก (และบางคนก็เชื่อว่าขาดดุลเพราะมีการนำเข้าทองเป็นจำนวนมากในช่วงแรกของปีนี้และอาจไม่เกิดขึ้นในอนาคต) และประเทศไทยก็มีหนี้สินต่างประเทศน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับทุนสำรอง ทำให้น่าจะรับมือกับการไหลออกของเงินทุนได้ รวมทั้งการที่ประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อ (ตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงาน) อยู่ที่ระดับต่ำทำให้ทางการไม่จำเป็นต้องมีมาตรการทางการเงินที่เข้มงวด สำหรับปัจจัยบวกที่สองคือ การเมืองที่แม้จะมีประเด็นขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ แต่ก็ประเมินได้ว่าจะไม่กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ทำให้ต้องยุบสภาและแม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากการตัดสินขององค์กรอิสระอยู่บ้างแต่ก็ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเป็นภัยอันตรายต่อสถานะภาพของรัฐบาลในอนาคต
สำหรับปัจจัยลบนั้นต้องยอมรับว่าการดำเนินนโยบายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยนั้นถูกมองว่ายังมีศักยภาพน้อยมาก กล่าวคือนักลงทุนยังต้องรอการผ่านกฎหมายงบประมาณ การริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อบริหารจัดการน้ำและยังต้องรอการดำเนินการประชาพิจารณ์ตามคำสั่งศาล กฎหมาย 2 ล้านล้านบาทเพื่อปรับโครงสร้างระบบคมนาคม ซึ่งล่าช้าไปแล้วประมาณ 1 เดือนและมีความเป็นไปได้มากกว่าเมื่อกฎหมายผ่านสภาแล้วก็จะถูกนำไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่าขัดต่อวินัยทางการคลังที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่
ในขณะเดียวกันนโยบายการเงินก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ กล่าวคือธนาคารแห่งประเทศไทยคงจะดำเนินการแทรกแซงเป็นระยะๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพมิให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ารวดเร็วเกินไปและแม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะไม่ปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น แต่ก็คงจะไม่ลดดอกเบี้ยเช่นกัน ในขณะที่การคาดการณ์ว่าจะมีการลดทอนคิวอีทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวของไทยวัดจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีได้ปรับเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดของปีนี้ที่ 3.2 มาเป็น 4.3% กล่าวคือแม้ว่านโยบายการเงินจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่ในความเป็นจริงนั้นการคาดการณ์การลดทอนคิวอีได้ทำให้ภาคการเงินของไทยตึงตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว ในขณะที่ภาคครัวเรือนมีหนี้สินที่ระดับสูงทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวตักเตือนให้ระมัดระวัง ซึ่งตอกย้ำว่าภาคการบริโภคภายในประเทศคงจะไม่ขยายตัวมากนักไปอีกนานหลายเดือนดังที่กล่าวในครั้งที่แล้วว่า “หมดยุค” ของการกู้เงินมาเพื่อการบริโภคแล้ว
แปลว่าเศรษฐกิจไทยนั้นจะขึ้นหรือลงหรือจะไปทางซ้ายหรือทางขวาก็คงจะต้องดูทิศทางลมจากเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งออกหรือการท่องเที่ยวที่จะต้องเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปีนี้ โดยคาดหวังว่าในปีหน้าจะมีความชัดเจนว่าทางการไทยจะสามารถขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง