The cultivation of row crops on mou

The cultivation of row crops on mountainous farmland can generate severe soil erosion due to low ground cover, especially in the early growth stages. Organic farming, due to the absence of herbicides, can support the development of weeds and increase the ground cover compared to conventional farming. However, the benefits towards soil erosion, and the conservation potential of organic farming systems, in terms of herbicide application and weed growth, have not been investigated. Aim of this study was to identify how conventional and organic farming influence the erosion rate of soil, due to row crops cultivated on mountainous farmland in the presence or absence of agricultural chemicals. We measured multiple vegetation parameters of crops and weeds of conventional and organic farms cultivated with bean, potato, radish, and cabbage in a mountainous watershed in South Korea. We simulated the long-term soil erosion rates with the Revised Universal Soil Loss Equation (RUSLE) by using 13 years of recorded rainfall data in order to account for the temporal variability of monsoonal rainfall. We determined average annual erosion rates for the study area to be between 30.6 t ha− 1 yr− 1 and 54.8 t ha− 1 yr− 1, with maximum values when radish was grown, due to the shorter growing period, higher soil disturbance at harvest, and low amounts of residue. Organic farming reduced soil loss for radish by 18% as a result of a high weed biomass density and cover at the end of the growing season. For potato, organic farming increased soil loss by 25% due to a reduced crop coverage, which is suspected to have been a consequence of crop–weed competition or increased herbivory associated with the absence of agricultural chemicals. Our results demonstrate that organic farming can potentially decrease the soil erosion risk for row crops because it supports weed development in the furrows, but it can also produce higher erosion rates when crop yields are reduced as a consequence, outweighing the protective effect of the weeds. However, the simulated erosion rates under both farming systems exceeded by far any tolerable soil loss. We conclude that organic farming alone cannot be used to effectively control erosion, and that both farming systems require additional conservation measures, such as winter cover crops and residue mulching, to sufficiently prevent soil loss for row crop cultivation.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เพาะปลูกแถวพืชในพื้นที่การเกษตรภูเขาสามารถสร้างพังทลายของดินอย่างรุนแรงเนื่องจากครอบคลุมพื้นดินต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะการเจริญเติบโตต้น เกษตรอินทรีย์ เนื่องจากการขาดงานของสารเคมีกำจัดวัชพืช สามารถสนับสนุนการพัฒนาของวัชพืช และเพิ่มครอบคลุมพื้นดินเมื่อเทียบกับการทำนาทั่วไป อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ต่อการพังทลายของดิน และศักยภาพอนุรักษ์ของอินทรีย์ ระบบการทำฟาร์มในรูปแบบของสารกำจัดวัชพืชประยุกต์และวัชพืชเจริญเติบโต มีไม่ถูกตรวจสอบ จุดมุ่งหมายของการศึกษานี้คือการ ระบุอิทธิพลนาอินทรีย์ และวิธีปกติอัตราการพังทลายของดิน จากแถวพืชที่ปลูกบนภูเขาพื้นที่การเกษตรในการหรือเคมีเกษตร เราวัดหลายพารามิเตอร์พืชของพืชและวัชพืชทั่วไป และอินทรีย์ฟาร์ม cultivated กับถั่ว มันฝรั่ง หัวผักกาด กะหล่ำปลีในลุ่มน้ำภูเขาในเกาหลีใต้ เราจำลองระยะยาวดินพังทลายราคามีการปรับปรุงสากลดินขาดทุนสมการ (RUSLE) โดยใช้ปริมาณน้ำฝนที่บันทึกข้อมูล 13 ปีเพื่อแสดงบัญชีสำหรับความผันผวนชั่วคราวของฝนนอกกระจก เรากำหนดราคาเฉลี่ยปีกัดเซาะพื้นที่ศึกษาระหว่าง 30.6 t ha− 1 yr− 1 และ 54.8 t ha− 1 yr− 1 มีค่าสูงสุดเมื่อมีปลูกหัวผักกาด เนื่องจากการเติบโตระยะสั้น สูงรบกวนดินที่เก็บเกี่ยว และยอดเงินต่ำสุดของสารตกค้าง เกษตรอินทรีย์ลดการสูญเสียดินสำหรับหัวผักกาด 18% เป็นผลมาจากความหนาแน่นของชีวมวลวัชพืชสูงและครอบคลุมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลเติบโต สำหรับมันฝรั่ง อินทรีย์เกษตรเพิ่มดินขาดทุน 25% เนื่องจากมีความครอบคลุมพืชลดลง ซึ่งถูกสงสัยว่า ได้รับเป็นผลมาจากการแข่งขัน crop–weed หรือเพิ่ม herbivory ที่เกี่ยวข้องกับการขาดสารเคมีเกษตร ผลของเราแสดงให้เห็นว่า เกษตรอินทรีย์สามารถอาจลดความเสี่ยงการพังทลายดินสำหรับพืชแถวเนื่องจากสนับสนุนพัฒนาวัชพืชใน furrows แต่มันสามารถผลิตอัตราการกัดเซาะสูงยังเมื่อพืชผลผลิตจะลดลงเป็นผล outweighing ผลป้องกันของวัชพืช อย่างไรก็ตาม อัตรากัดเซาะจำลองภายใต้ระบบการทำฟาร์มทั้งเกินโดยมีการสูญเสียดิน tolerable เราสรุปว่า ทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคุมการพังทลาย และให้ทั้งสองระบบทำฟาร์มต้องมาตรการอนุรักษ์เพิ่มเติม เช่นหนาวพืชครอบคลุมสารตกค้าง เพื่อป้องกันการสูญเสียดินสำหรับเพาะปลูกพืชแถวพอ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การเพาะปลูกของพืชแถวเกษตรภูเขาสามารถสร้างพังทลายของดินอย่างรุนแรงเนื่องจากการคลุมดินต่ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะการเจริญเติบโตเร็ว เกษตรอินทรีย์เนื่องจากการขาดสารเคมีกำจัดวัชพืชที่สามารถสนับสนุนการพัฒนาของวัชพืชและพืชคลุมดินเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการทำการเกษตรแบบเดิม แต่ประโยชน์ที่มีต่อการพังทลายของดินและการอนุรักษ์ที่มีศักยภาพของระบบการทำการเกษตรอินทรีย์ในแง่ของการใช้สารกำจัดวัชพืชและการเจริญเติบโตของวัชพืชยังไม่ได้รับการตรวจสอบ จุดมุ่งหมายของการศึกษานี้คือการระบุวิธีการทำฟาร์มธรรมดาและอินทรีย์มีผลต่ออัตราการชะล้างพังทลายของดินเนื่องจากแถวพืชที่ปลูกในพื้นที่เพาะปลูกที่เป็นภูเขาในที่ที่มีหรือไม่มีสารเคมีทางการเกษตร เราวัดค่าพารามิเตอร์ของพืชหลายของพืชและวัชพืชของฟาร์มธรรมดาและอินทรีย์ปลูกถั่ว, มันฝรั่ง, หัวไชเท้าและกะหล่ำปลีในลุ่มน้ำภูเขาในเกาหลีใต้ เราจะจำลองในระยะยาวอัตราการพังทลายของดินที่มีการแก้ไขการสูญเสียดินสากลสมการ (RUSLE) โดยใช้ 13 ปีของข้อมูลปริมาณน้ำฝนที่บันทึกไว้ในการบัญชีสำหรับความแปรปรวนชั่วคราวของสายฝนมรสุม เรากำหนดอัตราการกัดเซาะเฉลี่ยประจำปีสำหรับพื้นที่ศึกษาจะอยู่ระหว่าง 30.6 ตันต่อเฮกตาร์ 1 ปี-1 และ 54.8 ตันต่อเฮกตาร์ 1 เมื่อหัวไชเท้าปลูกเนื่องจากระยะเวลาการเติบโตสั้นรบกวนดินสูงกว่าปี-1 มีค่าสูงสุดที่ การเก็บเกี่ยวและปริมาณต่ำของสารตกค้าง เกษตรอินทรีย์ลดการสูญเสียดินกับหัวไชเท้าโดย 18% เป็นผลมาจากความหนาแน่นของชีวมวลวัชพืชสูงและครอบคลุมในตอนท้ายของฤดูปลูก สำหรับมันฝรั่งเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นการสูญเสียดินโดย 25% อันเนื่องมาจากการรายงานข่าวการเพาะปลูกลดลงซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยว่าจะได้รับผลที่ตามมาของการแข่งขันพืชวัชพืชหรือ herbivory ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวข้องกับการขาดหายไปของสารเคมีทางการเกษตร ผลของเราแสดงให้เห็นว่าการทำการเกษตรอินทรีย์อาจจะสามารถลดความเสี่ยงที่พังทลายของดินสำหรับพืชแถวเพราะสนับสนุนการพัฒนาวัชพืชในร่อง แต่ก็ยังสามารถผลิตอัตราการพังทลายของดินสูงขึ้นเมื่อผลผลิตจะลดลงเป็นผลให้ outweighing ป้องกันผลกระทบของวัชพืช อย่างไรก็ตามอัตราการกัดเซาะจำลองภายใต้ระบบการทำฟาร์มเกินไกลโดยการสูญเสียดินใด ๆ พอประมาณ เราสรุปได้ว่าการทำการเกษตรอินทรีย์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพการควบคุมการพังทลายของดินและว่าทั้งสองระบบการทำฟาร์มจำเป็นต้องมีมาตรการการอนุรักษ์เพิ่มเติมเช่นพืชคลุมฤดูหนาวและที่เหลือคลุมดินเพื่อป้องกันการสูญเสียพอดินสำหรับการเพาะปลูกพืชแถว

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การปลูกพืชในพื้นที่การเกษตรแถวภูเขา สามารถสร้างการพังทลายของดินอย่างรุนแรง เนื่องจากครอบคลุมพื้นดินต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตระยะแรก เกษตรอินทรีย์ , เนื่องจากขาดสารกำจัดวัชพืช สามารถสนับสนุนการพัฒนาของวัชพืชและเพิ่มพื้นดินครอบคลุมเมื่อเทียบกับการทำนาแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ต่อการชะล้างพังทลายของดินและส่งเสริมศักยภาพของระบบเกษตรอินทรีย์ ในแง่ของการใช้สารกำจัดวัชพืช และการเจริญเติบโตของวัชพืช ไม่เคยถูกสอบสวน การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาวิธีการปกติและเกษตรอินทรีย์มีผลต่ออัตราการชะล้างพังทลายของดิน เนื่องจากแถวพืชที่ปลูกบนภูเขา พื้นที่การเกษตรในการแสดงตนหรือการขาดสารเคมีทางการเกษตรเราวัดค่าพารามิเตอร์ของพืชหลายพืชและวัชพืชทั่วไปและอินทรีย์ฟาร์มปลูกถั่ว มันฝรั่ง หัวไชเท้า และผักกาดขาวในลุ่มน้ำภูเขาในเกาหลีใต้เราจำลองระยะยาวอัตราการชะล้างพังทลายของดิน ด้วยการแก้ไขสมการสูญเสียดินสากล ( rusle ) โดยใช้ 13 ปี บันทึกข้อมูลฝนเพื่อบัญชีสำหรับการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวของฝนมรสุม . เราพบมีค่าเฉลี่ยอัตราการกัดกร่อนสำหรับพื้นที่ศึกษาอยู่ระหว่าง− 1 yr 30.6 T ฮา− 1 − 1 ปี ร้อยละ 54.8 T ฮา− 1 มีค่าสูงสุดเมื่อปลูกหัวไชเท้า ,เนื่องจากการสั้นระยะเติบโตสูงกว่าดินรบกวนที่เกี่ยวและปริมาณสารตกค้าง เกษตรอินทรีย์สามารถลดการสูญเสียดินสำหรับหัวไชเท้าโดย 18% เป็นผลของมวลชีวภาพสูงความหนาแน่นและคลุมวัชพืชในตอนท้ายของฤดูกาลเติบโต . สำหรับมันฝรั่ง อินทรีย์ในดินเพิ่มขึ้นการสูญเสีย 25% เนื่องจากการลดปลูกพืชคลุมซึ่งเป็นผู้ที่จะได้รับผลของพืชและการแข่งขันของวัชพืช หรือเพิ่มขึ้น herbivory เกี่ยวข้องกับการขาดงานของสารเคมีทางการเกษตร ผลของเราแสดงให้เห็นว่า การทำเกษตรอินทรีย์อาจลดความเสี่ยงการพังทลายของดินสำหรับพืชแถวเพราะมันสนับสนุนการพัฒนากัญชาใน furrowsแต่มันยังสามารถผลิตอัตราการชะล้างพังทลายสูง เมื่อผลผลิตพืชจะลดลงเป็นผล outweighing ผลป้องกันของวัชพืช อย่างไรก็ตาม ค่าอัตราการกัดกร่อนภายใต้ทั้งระบบการทำฟาร์มเกินไกลโดยการสูญเสียดินใด ๆ ได้ เราสรุปได้ว่า การทำเกษตรอินทรีย์อย่างเดียวไม่สามารถใช้การได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคุมการกัดกร่อนและทั้งระบบการทำฟาร์มต้องใช้มาตรการอนุรักษ์เพิ่มเติม เช่น ฤดูหนาว และพืชคลุมคลุมพอที่จะป้องกันไม่ให้สารตกค้าง , การสูญเสียดินสำหรับการเพาะปลูก แถวปลูก