Over the past 2 years, almost 45% o

Over the past 2 years, almost 45% of the students attending a local suburban high school
failed Algebra 2. The purpose of this study was to compare the impact of a cooperative
instructional technique (student teams-achievement divisions [STAD]) to traditional
instructional methods on performance in high school algebra. Motivational and cognitive
theories of cooperative learning constituted the theoretical framework. Motivational
theory stipulates that the success of a group depends on the success of the students
working together as a group; developmental theory suggests that when completing tasks,
students’ team interactions increase their mastery of critical concepts. This study focused
on whether students’ performance in algebra improved when taught algebraic concepts
using STAD versus traditional methods. A sequential, explanatory, mixed methods
design was used. The treatment group (n = 54) was taught using the STAD cooperative
learning technique, and the control group (n = 47) was taught using traditional methods.
The quantitative data came from the school-administered end-of-chapter test. The
quantitative data were analyzed using ANOVA. Qualitative interview data responses
were coded and analyzed using open coding. The findings showed that although students
performed significantly higher using STAD, teachers preferred traditional methods
because they were familiar with them and they required less planning time. The results
suggested that with ongoing training and support, teachers will feel more comfortable
using STAD. The study contributes to positive social change by providing teachers with a
better understanding of a promising method of algebraic learning that can lead to success
in higher level high school mathematics courses.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ปีผ่านมา 2 เกือบ 45% ของนักเรียนที่เข้าโรงเรียนมัธยมชานเมืองในท้องถิ่นล้มเหลวพีชคณิต 2 วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้เป็นการ เปรียบเทียบผลกระทบของการสหกรณ์สอนเทคนิค (นักเรียนทีมสำเร็จส่วน [สแตด]) แบบดั้งเดิมวิธีการสอนประสิทธิภาพในพีชคณิตมัธยม หัด และรับรู้ทฤษฎีการเรียนรู้สหกรณ์ทะลักกรอบทฤษฎี หัดทฤษฎีข้อกำหนดว่า ความสำเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับความสำเร็จของนักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ทฤษฎีพัฒนาแนะนำที่เมื่อดำเนินงานนักเรียนทีมโต้ตอบเพิ่มความสามารถของแนวคิดที่สำคัญ การศึกษานี้มุ่งเน้นบนว่าประสิทธิภาพนักเรียนพีชคณิตขึ้นเมื่อสอนแนวคิดพีชคณิตใช้สแตดเมื่อเทียบกับวิธีดั้งเดิม วิธีการเรียงลำดับ อธิบาย ผสมใช้ออกแบบ กลุ่มบำบัด (n = 54) ถูกสอนใช้สหกรณ์สแตดเรียนรู้เทคนิค และกลุ่มควบคุม (n = 47) ที่สอนโดยใช้วิธีการแบบเดิมข้อมูลเชิงปริมาณมาจากการทดสอบท้ายบทเรียนจัดการ ที่มีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวน ตอบสนองข้อมูลสัมภาษณ์เชิงคุณภาพได้มีกำหนด และวิเคราะห์โดยใช้รหัสเปิด ผลการวิจัยพบว่าแม้ว่านักเรียนอย่างมีนัยสำคัญสูงใช้สแตด วิธีแบบดั้งเดิมต้องครูเพราะพวกเขาคุ้นเคยกับพวกเขา และพวกเขาต้องใช้เวลาวางแผน ผลลัพธ์แนะนำว่า การฝึกอบรมและสนับสนุน ครูจะรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้นใช้สแตด การศึกษาสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยการให้ครูมีการความเป็นวิธีการของพีชคณิตในการเรียนรู้ที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จในหลักสูตรคณิตศาสตร์ของโรงเรียนระดับสูง

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ที่ผ่านมา 2 ปีที่ผ่านมาเกือบ 45% ของนักเรียนที่เข้าร่วมโรงเรียนมัธยมท้องถิ่นชานเมือง
ล้มเหลวพีชคณิต 2. วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลกระทบของความร่วมมือ
เทคนิคการเรียนการสอน (ดิวิชั่นนักศึกษาทีมความสำเร็จ [STAD]) แบบดั้งเดิม
การเรียนการสอน วิธีการในการปฏิบัติงานในพีชคณิตโรงเรียนมัธยม สร้างแรงบันดาลใจและความรู้ความเข้าใจใน
ทฤษฎีของการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมประกอบด้วยกรอบทฤษฎี สร้างแรงบันดาลใจ
ทฤษฎีระบุว่าความสำเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับความสำเร็จของนักเรียน
ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ทฤษฎีพัฒนาการแสดงให้เห็นว่าเมื่อเสร็จสิ้นงาน
ปฏิสัมพันธ์ทีมนักเรียนเพิ่มการเรียนรู้ของพวกเขาจากแนวความคิดที่สำคัญ การศึกษาครั้งนี้มุ่งเน้น
ว่าผลการดำเนินงานของนักเรียนในพีชคณิตดีขึ้นเมื่อการเรียนการสอนแนวความคิดเกี่ยวกับพีชคณิต
ใช้ STAD เมื่อเทียบกับวิธีการแบบดั้งเดิม ลำดับอธิบายวิธีการผสม
การออกแบบที่ถูกนำมาใช้ กลุ่มการรักษา (n = 54) ได้รับการสอนโดยใช้ความร่วมมือ STAD
เทคนิคการเรียนรู้และกลุ่มควบคุม (n = 47) ได้รับการสอนโดยใช้วิธีการแบบเดิม.
ข้อมูลเชิงปริมาณมาจากโรงเรียนบริหารการสิ้นสุดของบททดสอบ
ข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวน การตอบสนองของข้อมูลการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพ
ถูกเข้ารหัสและวิเคราะห์โดยใช้การเข้ารหัสเปิด ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าถึงแม้นักเรียน
ดำเนินการที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยใช้ STAD ครูที่ต้องการวิธีการแบบดั้งเดิม
เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับพวกเขาและพวกเขาจำเป็นต้องใช้เวลาในการวางแผนน้อย ผลการ
ชี้ให้เห็นว่ามีการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องและการสนับสนุนครูผู้สอนจะรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้น
โดยใช้ STAD การศึกษาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในเชิงบวกโดยการให้ครูที่มี
ความเข้าใจที่ดีขึ้นของวิธีการที่มีแนวโน้มของการเรียนรู้เกี่ยวกับพีชคณิตที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จ
ในระดับที่สูงกว่าโรงเรียนวิชาคณิตศาสตร์สูง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ผ่านมา 2 ปี เกือบ 45% ของนักเรียนเรียน
โรงเรียนมัธยมชานเมืองท้องถิ่นล้มเหลวพีชคณิต 2 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลของวิธีสอนแบบร่วมมือ
( ทีมนักเรียนแผนก [ 4 ] ) วิธีสอนแบบดั้งเดิม
ดำเนินงานในพีชคณิตที่โรงเรียน แรงบันดาลใจและปัญญา
ทฤษฎีการเรียนแบบร่วมมือ โดยกรอบทางทฤษฎี ทฤษฎีแรงจูงใจ
ระบุว่า ความสำเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับความสำเร็จของนักเรียน
ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ทฤษฎีพัฒนาการ ชี้ให้เห็นว่า เมื่อจบงาน
ปฏิสัมพันธ์ทีมนักเรียนเพิ่มการเรียนรู้ของพวกเขาของแนวคิดที่สำคัญ การศึกษานี้เน้น
ว่า การแสดงของนักเรียน การสอนพีชคณิตพีชคณิตดีขึ้นเมื่อเทียบกับวิธีการแบบดั้งเดิมโดยใช้แนวคิด
4 . เป็นลำดับทั้งวิธีการออกแบบ
ผสมที่ใช้ กลุ่มทดลอง ( n = 54 ) ได้รับการสอนโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบ STAD
และกลุ่มควบคุม ( N = 47 ) ได้รับการสอนโดยใช้วิธีการแบบดั้งเดิม
ข้อมูลเชิงปริมาณ มาจากโรงเรียนและสิ้นสุดการทดสอบบท
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดียว
ข้อมูลการสัมภาษณ์การตอบสนองเชิงปริมาณวิเคราะห์ โดยใช้รหัสและเปิดนะครับ ผลการศึกษาพบว่า แม้ว่านักศึกษา
) สูงกว่าใช้เทคนิค ครูที่ต้องการวิธีการดั้งเดิม
เพราะพวกเขามีความคุ้นเคยกับพวกเขาและพวกเขาต้องการเวลาคิดน้อย ผลลัพธ์
แนะนำว่าด้วยการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องและสนับสนุน ครูจะรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้นด้วยคน
. การศึกษาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในเชิงบวก โดยให้ครูด้วย
ความเข้าใจแนวโน้ม วิธีการเรียนรู้ที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จ
พีชคณิตในระดับที่สูงกว่าคณิตศาสตร์โรงเรียนมัธยมหลักสูตร