พระพุทธรูปปางประทานปฐมเทศนา หรือปางประทานเอหิภิกขุโดยประดิษฐานเป็น พระประธานในพระอุโบสถ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี (ระหว่างปีพุทธศักราช ๑๑๐๐-๑๖๐๐) ชาวบ้านมักจะเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “หลวงพ่อประทานพร” พระพุทธรูปศิลาขาว ทำจากศิลาสีขาวขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะทั่วไปเป็นพระพุทธรูปศิลปะทวารวดี ประทับนั่งบนบัลลังก์ห้อยพระบาททั้งสอง (ปรลัมพปาทาสนะ) ลงบนฐานทำเป็นกลีบบัวบานรองรับ ซึ่งมีศัพท์เฉพาะเรียกว่า “ภัทรอาสน์” หรือ “ภัทราสนะ” พระหัตถ์ซ้ายของพระพุทธรูปวางหงายอยู่เหนือพระเพลาซ้าย ส่วนพระหัตถ์ขวายกอยู่ในระดับพระอุระ หันฝ่าพระหัตถ์ออกปลาย พระอังคุฐ (นิ้วหัวแม่มือ) กับพระดัชนี (นิ้วชี้) งอโค้งจรดกันเป็นวงกลม ส่วนอีกสามนิ้วพระหัตถ์กางออก พระพุทธรูปในรูปท่าแบบนี้ เรียกว่า “ปางประทานปฐมเทศนา” หรือ “ปางประทานเอหิภิกขุ” ขนาดความสูงจากพระเกตุถึงพระบาท ๓.๓๖ เมตร พระพุทธรูปศิลาขาว องค์ที่ประดิษฐานเป็นพระประธาน ณ พระอุโบสถ
พระพุทธรูปศิลาขาวทั้ง ๔ องค์ นั้น นายธนิต อยู่โพธิ์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “พระพุทธรูปศิลาขาว สมัยทวารวดี” ว่า พระพุทธรูปศิลาเนื้อหินขาว ๔ องค์ ซึ่งเคยประดิษฐานอยู่ ณ วัดทุ่งพระเมรุ หรือวัดพระเมรุ จ.นครปฐม โดยพบ สถูปโบราณ สมัยทวารวดีองค์ใหญ่ มีร่องรอยว่ามีมุขประจำ ๔ ทิศ และในแต่ละมุขทิศเคยมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่นั่งห้อยพระบาทประจำอยู่นั้นในสมัย กรุงศรีอยุธยาตอนต้น ราวรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ หรือรัชกาลสมเด็จพระราเมศวร ได้ขนย้ายพระพุทธรูปศิลาขาวมาประดิษฐานไว้ในวัดพระยากง ต.สำเภาล่ม จ.พระนครศรีอยุธยา เกือบครบ ๓ องค์ คงทิ้งไว้ที่เดิม (วัดทุ่งพระเมรุ) ๑ องค์ กับชิ้นส่วนขององค์พระบางท่อน ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ได้นำองค์พระพุทธรูปศิลาขาวที่คงอยู่ ณ ที่เดิม (วัดทุ่งพระเมรุ) นั้น ไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร กับในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้นำชิ้นส่วนที่เหลือไปจัดตั้งไว้ ณ พระระเบียงคดด้านนอกองค์พระปฐมเจดีย์ ส่วนที่นำไปวัดพระยากงเกือบครบ ๓ องค์นั้น ต่อมาราวกว่า ๒๐ ปีมานี้ ได้มีผู้ศรัทธานำบางส่วนมาประกอบเป็นองค์ไว้ที่ วัดขุนพรหม จ.พระนครศรีอยุธยา
ส่วนที่ยังคงอยู่ที่วัดพระยากงก็มีคนใจร้ายทุบทำลายพระ เศียร ๒ พระเศียร ให้แตกแยกจากกันเพื่อสะดวกแก่การขนย้าย แล้วนำมาขายไว้ ณ ร้านค้าของเก่าในเวิ้งนครเกษม ๒ ร้าน ซึ่งกรมศิลปากรก็ได้ติดตามคืนมาได้ ครั้นต่อมา กรมศิลปากรด้วยความร่วมมือของผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้นำพระพุทธรูปองค์ที่อยู่วัดขุนพรหม กับชิ้นส่วนที่มีอยู่ทั้งหมดที่วัดพระยากง และชิ้นส่วนขององค์พระที่มีอยู่ ณ พระระเบียงคดด้านนอกองค์พระปฐมเจดีย์ รวมทั้งพระเศียรองค์พระ ๒ พระเศียรที่ติดตามคืนมาได้จากร้านค้าของเก่าดังกล่าวแล้วจึงนำมาประกอบกัน ขึ้นเต็มองค์และปฏิสังขรณ์เพิ่มเติม โดยถูกลดส่วนสัดได้ ๓ องค์ จัดตั้งแสดงไว้ใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพฯ หนึ่งองค์ แสดงไว้ใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา จ.พระนครศรีอยุธยา หนึ่งองค์ และได้นำมาประดิษฐานไว้เป็นที่สักการบูชา ณ ลานชั้นลด (กะเปาะ) ด้านทิศใต้ขององค์พระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร อีกหนึ่งองค์ซึ่งได้รับขนานนามโดยเจ้าอาวาสวัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร ในขณะนั้น (พ.ศ. ๒๕๑๐) ว่า “พระพุทธนรเชษฐ์ เศวตอัศมมัยมุนี ศรีทวารวดีปูชนียบพิตร”เมื่อรวมกับพระพุทธรูปศิลาขาวองค์ที่รัชกาลที่ ๔ ได้อัญเชิญมาประดิษฐานเป็น พระประธานในพระอุโบสถ วัดพระปฐมเจดีย์ ราชวรมหาวิหาร ด้วยกันก็เป็นครบ ๔ องค์