ในยุคนี้หากพูดถึงใจกลางกรุงเทพฯ หลายคนคงจะนึกถึงย่านสยามสแควร์ สุขุมวิท หรือสีลม ที่เป็นทั้งแหล่งธุรกิจ แหล่งค้าขาย แหล่งรวมแฟชั่น และอื่นๆ อีกมากมาย แต่หากเป็นในอดีต ใจกลางกรุงเทพฯ นั้นอยู่ในย่านเสาชิงช้า เพราะที่นี่ถือเป็น “สะดือเมือง” หรือจุดศูนย์กลางของพระนครที่ถูกกำหนดขึ้นตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งในวันนี้จะพาไปเดินเล่นชมเมืองในย่านเสาชิงช้ากัน
สำหรับสะดือเมืองนั้นถูกกำหนดมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือรัชกาลที่ 1 หลังจากที่พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขยายขอบเขตของพระนครออกไปทางตะวันออก และมีการขุดคลองรอบกรุงขึ้น และพระองค์จึงได้กำหนดจุดศูนย์กลางของพระนครหรือสะดือเมืองขึ้น และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ตั้งของเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ รวมทั้งเสาชิงช้าด้วย
“เสาชิงช้า” จึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของกรุงเทพฯ มาจนทุกวันนี้ โดยเสาชิงช้านั้นเป็นเสาไม้ขนาดใหญ่สีแดง ตั้งอยู่บนแท่นหินขนาดใหญ่ มีความสูง 21.15 เมตร ฐานกลมก่อเป็นฐานปัทม์ทำด้วยหินล้างสีขาว ตามแนวโค้งของฐานติดแผ่นจารึกประวัติเสาชิงช้า เสาไม้แกนกลางคู่และเสาตะเกียบ 2 คู่ เป็นเสาหัวเม็ด ล้วนทำด้วยไม้สักกลึงกลม โครงยึดหัวเสาทั้งคู่แกะสลักอย่างสวยงาม กระจังและหูช้างไม้เป็นลวดลายไทย ทั้งหมดทาสีแดงชาด ใช้เป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีโล้ชิงช้าในพระราชพิธี”ตรียัมปวาย ตรีปวาย”ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเมื่อครั้งอดีตปัจจุบัน และเสาชิงช้าที่ได้เห็นกันในปัจจุบันนั้นเป็นเสาต้นใหม่ ซึ่งได้มีการจัดพิธีสมโภขน์เสาชิงช้าใหม่ไปเมื่อวันที่ 11-13 กันยายน 2550 โดยตัวไม้เป็นไม้สักทองมาจากเมืองแพร่