คำลักษณะนาม (ลักษณนาม) คือ คำที่เป็นคำที่บอกลักษณะของคำนาม หรือ บอกรูปลักษณะและชนิดต่างๆของคำนามให้ชัดเจนมากขึ้น เน้นคำนามนั้นๆว่ามีลักษณะอย่างไร มักจะอยู่ข้างหลังจำนวนนับใช้เป็นส่วนใหญ่ หรือ อาจจะใช้เป็นคำนามตัวเดิมของมันมาเป็นลักษณะนามได้ หรือ ลักษณะนามที่ใช้ต่างจากคำนามเดิมแต่มันจะใช้แค่บางคำนามเท่านั้น หรือ อาจจะใช้เป็นสำนวนมาเป็นคำลักษณะนามเพื่อมาขยายคำนามนั้นให้ชัดเจนมากขึ้น แต่บางลักษณนามก็ไม่มีความหมาย แต่ถ้าเป็นลักษณนามที่ใช้คำนามตัวเดิมนั้นจะมีความหมายเพราะเราใช้คำนามตัวเดิมที่มีความหมายอยู่แล้ว ลักษรนามคำนามคำนั้นจึงมีความหมาย ตำแหน่งของมันจะอยู่ข้างหลังจำนวนนับ หรือ อยู่ในตำแหน่งข้างหน้า คำบุพบทในภาษาอังกฤษแล้วตามหลังด้วยคำนาม
วิธีใช้ของลักษณนามทั้งไทยและอังกฤษมีใช้ทั้งสองอย่างนั้นคล้ายกัน แต่ความต่างมันก็มีอยู่บ้าง วิธีใช้ลักษณนามของภาษาอังกฤษ อยู่ข้างหลังคำบุพบท มักจะใช้กับคำนามนับได้กับคำนามนับไม่ได้ ถ้าใช้กับคำนามนับไม่ได้จะใช้เพื่อให้คำนามจากนับไม่ได้เป็นคำนามนับได้ และ ลักษณนามของภาษาอังกฤษจะไม่มีความหมายอย่างชัดเจนเท่าไร ถ้าแปลความหมายจะไม่ชัดเจนแต่สามารถแปลออกมาได้เหมือนกัน ลักษณนามของภาษาอังกฤษจะใช้น้อยเพราะจะใช้แค่ในการสนทนาหรือใช้แค่ตอนจะบอกหรือชี้เฉพาะคำนาม ถ้าใช้ตอนสนทนาใช้แค่พูดตอนที่จะสั่งอาหารที่ร้านอาหาร หรืออธิบายสิ่งต่างๆเพื่อเน้นคำนามให้รู้ว่ามีสิ่งต่างๆเท่าไร เช่น ในห้องมี โต๊ะ ๒ ตัว และ มีเตียง ๑ เตียง มี ขนมปัง ๓ ชิ้น
ส่วนลักษณนามของไทยจะใช้มาก เพราะภาษาไทยมีคำ อยู่หลากหลายจึงจำเป็นต้องมีลักษณนามเพื่อบอกรูปแบบลักษณะของคำนามนั้นๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในตำแหน่งหน้าจำนวนนับ และใช้กับคำราชาศัพท์ คำราชาศัพท์หมายถึงคำสุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่างๆ คำราชาศัพท์เป็นการกำหนดคำและภาษาที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของไทย และลักษณนามจะใช้เป็นปกติเหมือนเดิม หรือ ใช้เป็นคำราชาศัพท์เดิมมาเป็นคำลักษณนาม และคำลักษณนามในไทยมีหลายแบบ หรือถ้าไปเจอคำแปลกๆก็สามารถคิดคำขึ้นมาใหม่เพื่อใช้บอกลักษณะคำนามนั้นได้ เช่น
กระดาษ 1 แผ่น วงกลม 1 วง นก ๓ ฝูง กรอบพระ ๑ กรอบ เสียงดังได้ยิน ๗ คาบสมุทร etc