Prevalence of dual diagnosis among

Prevalence of dual diagnosis among veterans

Substance use
Substance use represents a significant health concern for veterans and their families (American Psychological Association: Presidential Task Force on Military Deployment Services for Youth, Families, and Service Members, 2007). Substance use interferes with familial and social obligations, contributes to legal involvement, and interferes with the prompt, consistent access to intervention and treatment (e.g. Easton et al., 2007). Risk factors for substance use diagnoses among veterans include being male, involved in longer deployments or more hazardous combat arenas, younger than 25, and never married or divorced (Seal et al., 2011). Wagner et al. (2007) analyzed the 2000-2003 data collected for the National Survey of Drug Use and Health, an annual, nationally representative survey of past-year health data provided by non-institutionalized adult civilians in the USA. Veterans comprised 6.2 percent of the sample and demonstrated higher rates of frequency of use for alcohol (53.6 percent), marijuana (3.5 percent), and illicit drugs (4.4 percent), as well as higher rates of binge drinking (22.6 percent) and intoxicated driving (13.2 percent) when compared to the general population. The authors note, however, that rates of substance use diagnoses over the previous year did not differ among veterans and the general population, suggesting that problematic substance-related behavior may go undetected at higher rates among veterans. Indeed, there is a wide disparity between the number of veterans who report clinically significant symptomatology and those who seek treatment (Hoge et al., 2004). Real and perceived barriers to counseling may contribute to this symptom-treatment discrepancy and will be discussed later.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ส่วนการวินิจฉัยคู่ระหว่างทหารผ่านศึกใช้สาร ใช้สารแสดงถึงความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญสำหรับทหารผ่านศึกและครอบครัว (สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน: ประธานาธิบดีแรงงานทหารจัดบริการสำหรับเยาวชน ครอบครัว และบริการ สมาชิก 2007) ใช้สารรบกวนการผูกพันทางสังคม และภาวะ สนับสนุนการมีส่วนร่วมตามกฎหมาย และรบกวนการเข้าถึงพร้อมท์ สอดคล้องกันการแทรกแซงและการรักษา (เช่นอีสตัน et al., 2007) ปัจจัยเสี่ยงสำหรับการวิเคราะห์สารใช้ในหมู่ทหารผ่านศึกรวมถึงเป็นชาย เกี่ยวข้องกับการจัดวางยาวหรืออันตรายขึ้นต่อสู้สถาน อายุน้อยกว่า 25 และไม่เคยแต่งงาน หรือหย่าแล้ว (ตรา et al., 2011) วากเนอร์ et al. (2007) วิเคราะห์ข้อมูล 2000-2003 รวบรวมสำหรับชาติสำรวจของใช้ยาเสพติดและสุขภาพ ปี ผลงานพนักงานสำรวจข้อมูลสุขภาพปีที่ผ่านมาโดยไม่ได้ institutionalized พลเรือนผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ทหารผ่านศึกประกอบด้วย 6.2 ร้อยละของตัวอย่าง และราคาสูงแสดงให้เห็นถึงของความถี่ของใช้แอลกอฮอล์ (ร้อยละ 53.6), กัญชา (ร้อยละ 3.5), และยาผิดกฎหมาย (ร้อยละ 4.4), และสูงกว่าอัตราการดื่มสุราดื่ม (ร้อยละ 22.6) และ intoxicated ขับ (ร้อยละ 13.2) เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป ผู้เขียนหมายเหตุ อย่างไรก็ตาม ว่า ราคาของการวิเคราะห์สารใช้ปีก่อนหน้าได้ไม่แตกต่างกันในทหารผ่านศึกและประชากรทั่วไป แนะนำว่า ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสารอาจไปหายที่ราคาสูงขึ้นในหมู่ทหารผ่านศึก แน่นอน มี disparity กว้างระหว่างจำนวนของทหารผ่านศึกที่รายงาน symptomatology สำคัญทางคลินิกและผู้ที่แสวงหาการรักษา (Hoge et al., 2004) จริง และการรับรู้อุปสรรคการให้คำปรึกษาอาจนำไปสู่ความขัดแย้งรักษาอาการนี้ และจะกล่าวถึงในภายหลัง

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ความชุกของการวินิจฉัยโรคในหมู่ทหารผ่านศึกสารการใช้การใช้สารที่เป็นตัวแทนของความกังวลด้านสุขภาพที่สำคัญสำหรับทหารผ่านศึกและครอบครัวของพวกเขา (American Psychological Association: ประธานาธิบดี Task Force บนทหารบริการการปรับใช้สำหรับเด็กและเยาวชนครอบครัวและบริการสมาชิก 2007) การใช้สารรบกวนมีภาระผูกพันในครอบครัวและสังคมก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมทางกฎหมายและรบกวนรวดเร็วเข้าถึงที่สอดคล้องกับการแทรกแซงและการรักษา (เช่นอีสตัน et al., 2007) ปัจจัยเสี่ยงต่อการวินิจฉัยการใช้สารเสพติดของทหารผ่านศึกรวมถึงการเป็นเพศชายมีส่วนร่วมในการใช้งานอีกต่อไปหรืออันตรายอื่น ๆ โดยสิ้นเชิงการต่อสู้ที่อายุน้อยกว่า 25 และไม่เคยแต่งงานหรือหย่า (ตราประทับ et al., 2011) แว็กเนอร์และคณะ (2007) การวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวม 2000-2003 สำหรับการสำรวจแห่งชาติของการใช้ยาและสุขภาพประจำปีการสำรวจเป็นตัวแทนของชาติของข้อมูลสุขภาพที่ผ่านมาปีที่ให้บริการโดยพลเรือนผู้ใหญ่ที่ไม่เป็นสถาบันในประเทศสหรัฐอเมริกา ทหารผ่านศึกประกอบด้วยร้อยละ 6.2 ของกลุ่มตัวอย่างและแสดงให้เห็นถึงราคาที่สูงขึ้นของความถี่ของการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ร้อยละ 53.6), กัญชา (ร้อยละ 3.5) และยาเสพติด (ร้อยละ 4.4) เช่นเดียวกับราคาที่สูงขึ้นจากการดื่มการดื่มสุรา (ร้อยละ 22.6) และขี้เหล้าเมายา การขับรถ (ร้อยละ 13.2) เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป ผู้เขียนทราบ แต่ที่อัตราของการวินิจฉัยใช้สารเสพติดในช่วงปีก่อนหน้านี้ไม่แตกต่างกันในหมู่ทหารผ่านศึกและประชาชนทั่วไปแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมของสารที่เกี่ยวข้องกับปัญหาอาจไปตรวจไม่พบในอัตราที่สูงในหมู่ทหารผ่านศึก อันที่จริงมีความแตกต่างกันระหว่างจำนวนกว้างของทหารผ่านศึกที่รายงานอาการนัยสำคัญทางคลินิกและผู้ที่แสวงหาการรักษา (Hoge et al., 2004) อุปสรรคที่แท้จริงและการรับรู้ที่จะให้คำปรึกษาอาจนำไปสู่ความขัดแย้งนี้อาการการรักษาและจะได้รับการกล่าวถึงในภายหลัง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ความชุกของการวินิจฉัยคู่ระหว่างทหารผ่านศึก


ใช้สารใช้สารเป็นสำคัญกังวลสุขภาพสำหรับทหารผ่านศึกและครอบครัวของพวกเขา ( สมาคม : งานของประธานาธิบดีในการใช้งานทางทหารบริการสำหรับเด็กและเยาวชน ครอบครัว และสมาชิก บริการ 2007 จิตวิทยาอเมริกัน ) การใช้สารรบกวนหน้าที่ครอบครัวและสังคมก่อให้เกิดกฎหมาย การมีส่วนร่วมและรบกวนให้สอดคล้องเข้าถึงการแทรกแซงและการรักษา ( เช่นอีสตัน et al . , 2007 ) ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้สารเสพติด รวมไปถึงการวินิจฉัยของทหารผ่านศึกเพศชายมีส่วนร่วมในการใช้งานนานกว่าหรือมากกว่า arenas ต่อสู้อันตรายน้อยกว่า 25 และไม่เคยแต่งงานหรือหย่า ( ประทับตรา et al . , 2011 ) แว็กเนอร์ et al .( 2007 ) วิเคราะห์ 2003 ข้อมูลสำหรับการสำรวจแห่งชาติของการใช้ยาเสพติดและสุขภาพประจําปี โอเปอเรเตอร์ ตัวแทนการสำรวจที่ผ่านมา ข้อมูลสุขภาพโดยสถาบันพลเรือนไม่ใช่ผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาทหารผ่านศึกมีร้อยละ 6.2 ของตัวอย่าง และพบอัตราสูงของความถี่ของการใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ( ร้อยละ 53.6 , กัญชา ( 3.5 เปอร์เซ็นต์ ) และเสพยาเสพติด ( 44 เปอร์เซ็นต์ , รวมทั้งอัตราที่สูงขึ้นของสุรา ( 22.6 เปอร์เซ็นต์ ) และเมาขับรถ ( 13.2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป ผู้เขียนได้ทราบ อย่างไรก็ตาม อัตราการใช้สารเคมีมากกว่าปีก่อนไม่แตกต่างกันระหว่างทหารผ่านศึกและประชากรทั่วไป กล่าวว่า ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสารอาจไปตรวจไม่พบในอัตราที่สูงของทหารผ่านศึกแน่นอน , มีความกว้างระหว่างจำนวนของทหารผ่านศึกที่รายงานทางการแพทย์พบอาการซึมเศร้าและผู้ที่แสวงหาการรักษา ( Hoge et al . , 2004 ) อุปสรรคที่แท้จริงและการรับรู้การรักษาอาการนี้อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง และจะกล่าวถึงในภายหลัง .