Svante Arrhenius During the next te

Svante Arrhenius

During the next ten years, Arrhenius continued his work on the effects of carbon dioxide on climate, and published a two-volume technical book titled Lehrbuch der kosmischen Physik in 1903; but this work was not widely read, as it was a textbook for a discipline that did not yet exist. A few years later, Arrhenius published Worlds in the Making, a non-technical book that reached a greater audience. In this book Arrhenius first describes the “hot-house theory ”of the atmosphere, stating that the Earth's temperature is about 30 degrees warmer than it would be due to the“ heat-protection action of gases contained in the atmosphere,”a theory based on ideas developed by Fourier, Pouillet, and (especially) Tyndall. His calculations demonstrated that if the atmosphere had no carbon dioxide, the surface temperature of the Earth would fall about 21 degrees Celsius, and that this cooler atmosphere would contain less water vapor, resulting in an additional temperature decrease of approximately 10 degrees Celsius. It is important to note that Arrhenius was not very concerned with rising carbon dioxide levels at the time, but rather was attempting to find an explanation for high latitude temperature changes that could be attributed to the onset of the ice ages and interglacial periods.
By 1904, Arrhenius became concerned with rapid increases in anthropogenic carbon emissions and recognized that “the slight percentage of carbonic acid in the atmosphere may, by the advances of industry, be changed to a noticeable degree in the course of a few centuries.” He eventually made the suggestion that an increase in atmospheric carbon dioxide due to the burning of fossil fuels could be beneficial, making the Earth's climates “more equable,” stimulating plant growth, and providing more food for a larger population. This view differs radically from current concerns over the harmful effects of a global warming caused by industrial emissions and deforestation. Until about 1960, most scientists dismissed the notion as implausible that humans could significantly affect average global temperatures. Today, however, we know that carbon dioxide levels have risen about 25 percent—a rate much faster than Arrhenius first predicted—and average global temperatures have risen about 0.5 degrees Celsius.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ของ Svante Arrhenius ในช่วงสิบปีถัดไป Arrhenius ต่องานของเขาบนผลกระทบของคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ และเผยแพร่หนังสือเทคนิคสองปริมาณชื่อ Lehrbuch der kosmischen Physik ใน 1903 แต่งานนี้ไม่ถูกกัน อ่าน เป็นตำราสำหรับวินัยที่ยังไม่มีอยู่ จึง Arrhenius เผยแพร่โลกในการทำ หนังสือที่ไม่ใช่ด้านเทคนิคที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ในหนังสือเล่มนี้ Arrhenius แรกอธิบาย "ทฤษฎีบ้านร้อน" ของบรรยากาศ ระบุว่า อุณหภูมิของโลกอบอุ่นขึ้นจะประมาณ 30 องศาจะเป็นการ "ดำเนินการป้องกันความร้อนของก๊าซที่อยู่ในบรรยากาศ, " ทฤษฎีตามแนวคิดที่พัฒนา โดยฟูริเยร์ Pouillet, Tyndall (โดยเฉพาะ) การคำนวณของเขาแสดงให้เห็นว่าได้ถ้าบรรยากาศมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ อุณหภูมิพื้นผิวของโลกจะตกอยู่ประมาณ 21 องศาเซลเซียส และ ที่บรรยากาศเย็นนี้จะประกอบด้วยไอน้ำน้อย เป็นผลในการลดอุณหภูมิเพิ่มเติมประมาณ 10 องศาเซลเซียส มันเป็นสิ่งสำคัญโปรดสังเกตว่า Arrhenius ไม่กังวลมากกับระดับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในเวลา แต่แทนที่จะ พยายามหาคำอธิบายสำหรับละติจูดสูงอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดจากการโจมตีของยุคน้ำแข็งและ interglacial รอบระยะเวลาโดย 1904, Arrhenius กลายเป็นเกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาของมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และรับรู้ว่า "เปอร์เซ็นต์เล็กน้อยของกรดคาร์บอในบรรยากาศอาจ ความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม เปลี่ยนในระดับที่เห็นได้ชัดในไม่กี่ศตวรรษ" เขาในที่สุดก็ได้คำแนะนำว่า การเพิ่มขึ้นในบรรยากาศคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจเป็นประโยชน์ ทำให้สภาพอากาศของโลก "มากขึ้นคงที่และสม่ำเสมอ กระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช และให้อาหารเพิ่มเติมสำหรับประชากรที่ใหญ่กว่า มุมมองนี้แตกต่างอย่างรุนแรงจากความกังวลปัจจุบันผ่านความโลกร้อนเกิดจากมลพิษอุตสาหกรรมและการทำลายป่า จนประมาณ 1960 นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไล่ความคิดเป็นไม่น่าเชื่อว่า มนุษย์สามารถมากมีผลต่ออุณหภูมิโลก วันนี้ อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่า ระดับคาร์บอนไดออกไซด์มีเพิ่มขึ้นประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ซึ่งอัตราเร็วกว่า Arrhenius คาดการณ์ครั้งแรก — และอุณหภูมิโลกได้เพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 องศาเซลเซียส

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

Svante Arrhenius ในช่วงสิบปีข้างหน้า Arrhenius คงทำงานของเขาเกี่ยวกับผลกระทบของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กับสภาพภูมิอากาศและตีพิมพ์เป็นหนังสือสองเล่มเทคนิคชื่อ Lehrbuch der kosmischen สิคในปี 1903; แต่งานนี้ไม่ได้อ่านหนังสือที่มันเป็นตำราเรียนวินัยที่ไม่ได้ยังมีอยู่ ไม่กี่ปีต่อมา Arrhenius ตีพิมพ์ในโลกในการทำหนังสือที่ไม่ใช่ด้านเทคนิคที่มาถึงผู้ชมที่มากขึ้น ในหนังสือเล่มนี้ Arrhenius แรกที่อธิบายถึง "ทฤษฎีร้อนบ้าน" ของบรรยากาศที่ระบุว่าอุณหภูมิของโลกประมาณ 30 องศาอุ่นกว่ามันจะเป็นเพราะ "การกระทำความร้อนป้องกันของก๊าซที่มีอยู่ในบรรยากาศ" ทฤษฎีตาม ในความคิดที่พัฒนาโดยฟูริเยร์ Pouillet และ (โดยเฉพาะ) ดอลล์ การคำนวณของเขาแสดงให้เห็นว่าถ้าบรรยากาศที่ไม่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อุณหภูมิพื้นผิวของโลกจะตกอยู่ประมาณ 21 องศาเซลเซียสและที่บรรยากาศเย็นนี้จะมีไอน้ำน้อยส่งผลให้อุณหภูมิลดลงเพิ่มอีกประมาณ 10 องศาเซลเซียส มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทราบว่า Arrhenius ไม่ได้กังวลมากเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเวลานั้น แต่เป็นความพยายามที่จะหาคำอธิบายสำหรับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิละติจูดสูงที่สามารถนำมาประกอบกับการโจมตีของยุคน้ำแข็งและระยะเวลา interglacial ม. โดย 1904 , Arrhenius เป็นกังวลกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการปล่อยก๊าซคาร์บอนของมนุษย์และเป็นที่ยอมรับว่า "ร้อยละเล็กน้อยของกรดคาร์บอในบรรยากาศอาจจะโดยความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมจะมีการเปลี่ยนแปลงในระดับที่เห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่ศตวรรษ." เขาทำในที่สุด ข้อเสนอแนะว่าการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศอันเนื่องมาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลอาจจะเป็นประโยชน์ทำให้ภูมิอากาศของโลก "สม่ำเสมอมากขึ้น" การกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชและการให้อาหารมากขึ้นสำหรับประชากรขนาดใหญ่ มุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี้จากความกังวลในปัจจุบันมากกว่าผลที่เป็นอันตรายของภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการตัดไม้ทำลายป่าในภาคอุตสาหกรรม จนถึงปี 1960 นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่สนใจความคิดที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญอาจมีผลต่ออุณหภูมิโลกเฉลี่ย อย่างไรก็ตามในวันนี้เรารู้ว่าระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์อัตราที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ Arrhenius แรกและอุณหภูมิโลกเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นประมาณ 0.5 องศาเซลเซียส