จากการศึกษาการรับรู้ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อข้าวอินทรีย์ของผู้บริโภคในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงที่มีอายุอยู่ระหว่าง20-30 ปี มีสถานภาพโสด การศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นนักเรียน/นักศึกษาโดยมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 10,001-20,000 บาท ซึ่งจะมีพฤติกรรมการซื้อข้าวสารครั้งละ 1 ถุงและส่วนมากมีความถี่ในการซื้อ คือ 1 ครั้งต่อเดือน โดยนิยมเลือกซื้อข้าวหอมมะลิ100% สำหรับผู้ตอบแบบสอบถามที่เคยซื้อข้าวอินทรีย์มาก่อนจะซื้อข้าวอินทรีย์แบบไม่เจาะจงยี่ห้อ โดยผู้บริโภคจะมีลักษณะการซื้อข้าวอินทรีย์ในบางครั้งที่พบว่ามีจำหน่ายเท่านั้น ซึ่งมีเหตุผลในการซื้อคือห่วงใยสุขภาพ และจากการศึกษาทัศนคติของผู้ตอบแบบสอบถามพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความรู้และความเข้าใจโดยรวมเกี่ยวกับข้าวอินทรีย์คือมีความรู้สึกเห็นด้วยและชอบในคุณสมบัติต่าง ๆ ของข้าวอินทรีย์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะซื้อข้าวอินทรีย์ในอนาคตด้วยเหตุผลหลัก คือเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพร่างกายของผู้บริโภคเอง
ทั้งนี้ผู้บริโภคก็อาจจะแนะนำข้าวอินทรีย์ให้ เพื่อนและคนรู้จักซื้อข้าวอินทรีย์ด้วย แม้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามจะมีทัศนคติที่ดีต่อข้าวอินทรีย์ การศึกษายังค้นพบว่า มีประเด็นที่ผู้ตอบยังไม่เข้าใจคือ ผู้ตอบแบบสอบถามไม่ทราบว่าข้าวอินทรีย์ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เกิดจากการตัดต่อทางพันธุกรรมและจากผลการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมอยู่ในระดับมาก
โดยปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกซื้อข้าวอินทรีย์มากที่สุดคือ ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย รองลงมาคือปัจจัยทางด้านผลิตภัณฑ์กับปัจจัยทางด้านราคาและปัจจัยทางด้านการส่งเสริมการตลาดตามลำดับ ผู้ตอบแบบสอบถามมีความต้องการต่อส่วนประสมทางการตลาดที่ตรงกันในอันดับแรก คือ ต้องการผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ที่มีคุณภาพโดยมีป้ายแสดงราคาที่ชัดเจนสามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปและต้องการให้มีป้ายการโฆษณาข้าวอินทรีย์เพื่อสุขภาพ