ในทักษะการสื่อสารทั้ง 4 ทักษะนั้น ทักษะการอ่านนับว่าว่า มีความสำคัญอีกทักษะหนึ่งใน การศึกษาทุกระดับ เพราะการเรียนวิชาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเรียนในห้องเรียนหรือนอกห้องเรียน รวมไปถึงชีวิตประจำวัน และการรับเอาเทคโนโลยีใหม่ต่างประเทศ การอ่านมีบทบาท อย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะมีโอกาสใช้ทักษะการฟัง พูดและเขียน น้อยกว่าการอ่าน
(สุมิตรา อังวัฒนกุล. 2539 : 50) แต่อย่างไรก็ตาม การอ่านถือว่าเป็นทักษะที่ยุ่งยากซับซ้อน ทั้งนี้เพราะการอ่านเป็น 2 กิจกรรมที่ต้องใช้วามคิดและความสามารถเพื่อทา ความเข้าใจในสารที่สื่อ การสอนทักษะการอ่าน ในระยะที่ผ่านมาเน้นการอ่านออกเสียง แปลคา ต่อคา ประโยคต่อประโยค การสอนลักษณะนี้ผู้สอน มิได้เน้นกระบวนการของการอ่านให้ต่อเนื่องจึงยากต่อความเข้าใจของนักเรียน การอ่านก่อให้เกิดการพัฒนาทักษะอื่นอย่างกว้างขวางเพราะเป็นการถ่ายโอนข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับ (สุมิตรา อังวัฒนกุล. 2539 : 52)
นงค์นาถ ชาววัง (2551) ได้สำรวจปัญหาการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ผลวิจัยพบว่า ความสามารถในการอ่านของนักเรียนทั้งสามสามด้านประกอบด้วยด้านโครงสร้างประโยค ด้านคำศัพท์ และด้านความเข้าใจใจในการอ่านยังอยู่ในระดับต่ำ นักเรียนส่วนใหญ่ ซึ่งมากกว่า 70% ไม่สามารถตอบคา ถามจากการอ่านได้ถูกต้อง ผลการวิจัยจึงแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีปัญหาการ อ่านทั้งสามด้าน จะเห็นว่าปัญหาการอ่านภาษาอังกฤษของเด็กไทยนั้น มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หากย้อนกลับไปในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานั้น ก็ยังพบปัญหาการอ่านภาษาอังกฤษของเด็กไทยอยู่
สุวรรณี เวทไธสง (2544) ที่ พบว่า ทักษะในการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายส่วนใหญ่มีปัญหาในด้านการอ่าน กล่าวคือ นักเรียนไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน สรุปและจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านไม่ได้เป็นเหตุให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่าย ขาดความกระตือรือร้น และขาดแรงจูงใจในการอ่านภาษาอังกฤษ
สุจิตรา อินทรรัศมี (2537) และ สมสวรรค์ พันธุ์เทพ (2540) ที่พบ ปัญหาในลักษณะคล้ายกัน คือ ความสามารถในการอ่านของนักเรียนมัธยมศึกษายังอยู่ในระดับต่ำ กล่าวคือ นักเรียนไม่เข้าใจเรื่องที่อ่านและนักเรียนอ่านเนื้อเรื่องแล้วจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน ไม่ได้ จึงต้องมีการปรับปรุงแก้ไข