The researchers who originally poin

The researchers who originally pointed out the apparent paradox between personal privacy attitudes and privacy behaviors published a 7-year longitudinal follow-up study, which uncovered that, though Facebook users are sharing less publically, they are disclosing more personal information within their social networks than ever before (Stutzman, Gross et al., 2012). Two of the main reasons they gave for the increased level of in-network sharing were that: (a) Facebook
added third-party apps, which generated additional sharable content on behalf of users and through apps used by one’s friends; and (b) Facebook facilitated “incidental” (Schneier, 2010) sharing of personal information posted by one’s friends through features such as photo and location tagging (Stutzman, Gross et al., 2012). Therefore, we believe that our research is a timely exploration of the privacy implications of Facebook tagging and app engagement with friends.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

นักวิจัยคนเดิม ชี้ให้เห็น paradox ชัดเจนระหว่างความเป็นส่วนตัวส่วนบุคคลทัศนคติและพฤติกรรมส่วนบุคคล เผยแพร่ 7 ปีระยะยาวติดตามผลการศึกษา ที่เปิดว่า แม้ว่าผู้ใช้ Facebook ใช้ร่วมกันน้อยป่าว พวกเขาจะเปิดเผยการข้อมูลส่วนตัวภายในเครือข่ายสังคมกว่าเดิม (Stutzman รวม et al., 2012) สองเหตุผลหลักที่เขาให้ในระดับเพิ่มขึ้นในเครือข่ายใช้ร่วมกันได้ที่: Facebook (a)เพิ่มอื่น ๆ ปพลิเคชัน ซึ่งสร้างเพิ่มเติมเนื้อหาที่สามารถใช้ร่วมในนาม ของผู้ใช้ และปพลิเคชันที่ใช้ของเพื่อน และ (ข) อำนวยความสะดวก Facebook "ผาดเผินๆ" (Schneier, 2010) แบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลลง ด้วยของเพื่อนผ่านลักษณะการทำงานเช่นรูปถ่ายและสถานติดป้าย (Stutzman รวม et al., 2012) ดังนั้น เราเชื่อว่างานวิจัยของเราสำรวจทันเวลาของผลกระทบความเป็นส่วนตัวของ Facebook app และการติดป้ายความผูกพันกับเพื่อน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

นักวิจัยซึ่ง แต่เดิมชี้ให้เห็นความขัดแย้งระหว่างทัศนคติความเป็นส่วนตัวและพฤติกรรมความเป็นส่วนตัวการตีพิมพ์เป็น 7 ปีการศึกษาระยะยาวติดตามซึ่งค้นพบที่แม้ว่าผู้ใช้ Facebook จะร่วมกันน้อยสาธารณะที่พวกเขาจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่ในเครือข่ายทางสังคมของพวกเขามากกว่า เคยเป็นมาก่อน (Stutzman, Gross et al., 2012) สองเหตุผลหลักที่พวกเขาให้ในระดับที่เพิ่มขึ้นของการใช้ร่วมกันในเครือข่ายพบว่า (ก) Facebook
เพิ่มปพลิเคชันของบุคคลที่สามซึ่งร่วมกันสร้างเนื้อหาเพิ่มเติมในนามของผู้ใช้และผ่านแอพพลิเคใช้โดยเพื่อนของคน; และ (ข) การอำนวยความสะดวกที่ Facebook "บังเอิญ" (Schneier 2010) การแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลที่โพสต์โดยเพื่อนคนหนึ่งผ่านคุณสมบัติเช่นภาพและการติดแท็กสถานที่ตั้ง (Stutzman, Gross et al., 2012) ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าการวิจัยของเราคือการสำรวจทันเวลาของผลกระทบความเป็นส่วนตัวของการติดแท็ก Facebook และแอพพลิเคหมั้นกับเพื่อน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

นักวิจัยที่แต่เดิมชี้ให้เห็นความขัดแย้งที่ชัดเจนระหว่างทัศนคติส่วนตัวและพฤติกรรมส่วนตัวเผยแพร่การศึกษาติดตามระยะยาว 7 ปี ซึ่งเปิดเผยว่า แม้ว่าผู้ใช้ Facebook จะแชร์น้อย publically พวกเขาจะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มเติมภายในเครือข่ายทางสังคมของพวกเขากว่าที่เคย ( stutzman Gross et al . , 2012 )สองเหตุผลหลักที่พวกเขาให้สำหรับการเพิ่มระดับในการแบ่งปันเครือข่ายพบว่า : ( 1 ) Facebook
เพิ่มแอพพลิเคบุคคลที่สามซึ่งร่วมกันสร้างเนื้อหาเพิ่มเติมในนามของผู้ใช้และผ่านปพลิเคชันที่ใช้โดยเพื่อน และ ( ข ) เกิด " อุบัติเหตุ " ( schneier Facebook ,2010 ) การแบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลที่โพสต์โดยหนึ่งเพื่อนผ่านคุณสมบัติเช่นภาพและตำแหน่งการติดแท็ก ( stutzman Gross et al . , 2012 ) ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าการวิจัยของเราคือการสำรวจทันเวลาของความเป็นส่วนตัวผลกระทบของ Facebook และ app ไปหมั้นกับเพื่อน