When Ray Bradbury first penned his

When Ray Bradbury first penned his short story “A Sound of Thunder” in 1952, the terms “chaos theory” and “butterfly effect” had yet to be coined. He knew nothing of the science of nonlinear dynamics, yet he managed to portray its ideology in this futuristic, time-travel odyssey. In the 1960’s, Edward Lorenz, the father of chaos theory, discovered that the results from his experiments in complex weather systems varied greatly by making infinitesimal changes in the initial data. This discovery brought about the basic belief of chaos theorists, which is the prevailing theme from “A Sound of Thunder”; small variations in the initial conditions of a dynamical system can produce large variations in the results. Bradbury presents the basic tenets of this theorem in more detail by giving examples of the how the butterfly effect might take place in this fictional situation, showing that every action has its repercussions, and explaining how the magnitude of the action has no bearing on its eventual impact.

The examples from the application of nonlinear dynamics in Bradbury’s story are abundant. Through the science fiction concept of time-travel, the characters of the short story participate in a hunting safari 65 million years in the past to kill the ultimate target – Tyrannosaurus Rex. This transport across the timeline gives the author the platform to prove his theorem. When the main character, a man simply named Eckles, steps from the floating path that protects the fragile, prehistoric environment and crushes a butterfly, Bradbury introduces the stimulus for his experiment. Upon the characters’ return to the future, we see that this small variation in the initial composition has brought about major changes in the world in which the characters reside. We see through Eckles’ eyes the differences between what he sees now and the place he just left. He first notices that the room’s décor has changed, and the air has a different smell to it. Then, he looks at the sign on the entrance. Because of his tiny misstep, the whole English language has changed. The final change we find out about in this new reality is that the beloved new President of the United States, Keith, did not win the election in this version of time, but was defeated by the socialist, Deutscher.

From the moment he steps through the front door of Time Safari, Inc., Eckles is told that for every decision he makes there will be a consequence. The first way this is presented is in the form of a fine. The safari guide, Travis, tells Eckles that if he disobeys in anyway while on the hunting trip, then he will be faced with a $10,000 fine for his actions. While $10,000 may not sound like an exorbitant amount of money today for such an egregious offense as interfering with the space-time continuum, that amount would equal roughly $81, 789.06 in 2010 when accounting for inflation. I believe Bradbury meant for the fine to sound like a stiff penalty when he wrote his piece. Eckles critical offense occurs when he kills the butterfly, and in the end, Eckels is murdered because he, ironically, failed to learn the simple principle of cause and effect.

Bradbury’s assertion that the scale of the stimulus has no bearing on the outcome is put forth very plainly in the choice of creatures offered in the story. He juxtaposes the gargantuan, terrifying Tyrannosaurus Rex against the miniscule, hapless butterfly, yet it is not the death of the Tyrannosaurus that creates the resultant chaos of the trip back in time. Instead, it is the end of the butterfly’s life that brings about the alterations in the characters’ world. The idea is also repeated in Eckles murder at the end of the story. Because Eckles smashed to butterfly, he was assassinated by Travis, showing that cause is not indicative of effect.

“A Sound of Thunder” was a revolutionary piece of science fiction in its era. It introduced concepts that were a decade ahead of their time. Looking back at the piece with almost 60 years of reflection makes me think that if Edward Lorenz is considered the father of chaos theory, then Ray Bradbury should, at least, be regarded as its eccentric uncle.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เมื่อ Ray Bradbury ก่อนเขียนเรื่องสั้นของเขา "A เสียงของฟ้าร้อง" ใน 1952 เงื่อนไข "ทฤษฎีความอลวน" และ "ตาย" ยังไม่ได้มีได้เป็น เขารู้อะไรในวิทยาศาสตร์ของ dynamics ไม่เชิงเส้น ยังได้วาดภาพของอุดมการณ์ในโคลงนี้อนาคต เดินทาง ข้ามเวลา 1960 เอ็ดเวิร์ดชายลอเรนซ์ บิดาของทฤษฎีความอลวน ค้นพบว่า ผลลัพธ์จากการทดลองของเขาในระบบอากาศที่ซับซ้อนแตกต่างกันอย่างมาก โดย infinitesimal แปลงข้อมูลเริ่มต้น ค้นพบนี้นำมาเกี่ยวกับความเชื่อพื้นฐานของ theorists วุ่นวาย ซึ่งยึดรูปแบบจาก "A เสียงของฟ้าร้อง" รูปแบบขนาดเล็กในสภาพเริ่มต้นของระบบ dynamical สามารถผลิตรูปแบบใหญ่ในผลลัพธ์ Bradbury แสดง tenets พื้นฐานของทฤษฎีบทนี้ในรายละเอียด โดยให้ตัวอย่างวิธีการตายอาจเกิดขึ้นในกรณีนี้สมมติ แสดงว่า ทุกการกระทำมีความร้าย และอธิบายว่า ขนาดของการดำเนินการมีเรืองไม่มีผลกระทบในการตัวอย่างจากแอพลิเคชัน dynamics ไม่เชิงเส้นในเรื่องของ Bradbury มีชุกชุม ผ่านแนวนิยายวิทยาศาสตร์ของการเดินทางข้ามเวลา ตัวของเรื่องสั้นเข้าร่วมในซาฟารีล่าสัตว์ 65 ล้านปีในอดีตฆ่าเป้าหมายที่ดีที่สุด – Tyrannosaurus Rex ขนส่งนี้ข้ามเส้นเวลาทำให้ผู้เขียนแพลตฟอร์มเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีบทของเขา เมื่อตัวละครหลัก ชายคนหนึ่งชื่อ Eckles เพียงแค่ขั้นตอนจากเส้นทางน้ำที่ปกป้องสภาพแวดล้อมที่เปราะบาง ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และ crushes ผีเสื้อ Bradbury แนะนำกระตุ้นในการทดลองของเขา เมื่อคืนของอักขระเพื่ออนาคต เราเห็นว่า มีนำความผันแปรนี้เล็กในองค์ประกอบเริ่มต้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโลกอยู่ที่ตัว เราดูผ่านดวงตาของ Eckles ที่ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เขาเห็นตอนนี้เพิ่งออก สังเกตพบเขาครั้งแรกว่า มีการเปลี่ยนแปลงการตกแต่งของห้อง และอากาศมีกลิ่นแตกต่างกันไป แล้ว เขามองไปที่เครื่องหมายบนทางเข้า เนื่องจาก misstep เล็ก ๆ ของเขา ภาษาอังกฤษทั้งหมดมีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงขั้นสุดท้ายที่เรารู้ในความเป็นจริงใหม่นี้เป็นที่รักประธานคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา Keith ไม่ได้ชนะการเลือกตั้งในเวลารุ่นนี้ แต่ก็พ่าย โดยสังคมนิยม Deutscherจากช่วงเวลาที่บอกตอนเขาผ่านประตูด้านหน้าของเวลาซาฟารี Inc., Eckles ว่า สำหรับการตัดสินใจทุก เขาทำให้มีจะส่งผลต่อไป วิธีแรกนี้จะแสดงอยู่ในรูปแบบของการปรับ แนะนำซาฟารี ทราวิส บอก Eckles ว่า ถ้าเขา disobeys ในหรือล่าสัตว์เดินทาง แล้วเขาจะต้องเผชิญหน้ากับเป็น $10000 ค่าปรับสำหรับการกระทำของเขา ในขณะที่ $10000 อาจไม่ชอบเสียงด้วยจำนวนเงินวันนี้เช่น egregious ต้องหาเป็นรบกวนสมิติ space-time ยอดเงินที่จะเท่ากับประมาณ $81, 789.06 ในปี 2553 เมื่อบัญชีเงินเฟ้อ ผมเชื่อว่า Bradbury หมายสำหรับปรับเสียงเช่นโทษแข็งเมื่อเขาเขียนชิ้นของเขา Eckles กระทำความผิดร้ายแรงเกิดขึ้นเมื่อเขาฆ่าผีเสื้อ และในสุด Eckels ถูกฆาตกรรมได้เนื่องจากเขา แดกดัน ล้มเหลวในการเรียนรู้เรื่องหลักการของเหตุและผลของ Bradbury ยืนยันว่า ระดับของการกระตุ้นมีเรืองไม่ผลลัพธ์รับมาอุปมามากหลากหลายสิ่งมีชีวิตที่นำเสนอในเรื่องการ เขา juxtaposes สุดอลังการ น่ากลัว Tyrannosaurus Rex กับผีเสื้อ miniscule, hapless ยังไม่ตายของ Tyrannosaurus ที่สร้างความนิยมผลแก่การเดินทางย้อนหลัง แทน เป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตของผีเสื้อที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในโลกของตัว ยังมีการทำซ้ำความคิดใน Eckles ฆ่าในตอนท้ายของเรื่อง เนื่องจาก Eckles ซึ่งได้ถูกทุบไปผีเสื้อ เขาได้ถูกลอบ โดยทราวิส แสดงว่า สาเหตุไม่ส่อผล"เป็นเสียงของฟ้าร้อง" เป็นตัวปฏิวัติของนิยายวิทยาศาสตร์ในยุคนั้น จะนำแนวคิดที่ทศวรรษก่อนเวลา มองไปที่ชิ้นส่วนสะท้อนเกือบ 60 ปีทำให้ผมคิดว่า ถ้าชายลอเรนซ์เอ็ดเวิร์ดถือเป็นบิดาของทฤษฎีความอลวน แล้ว Ray Bradbury ควร น้อย ถือว่าเป็นลุงของหลุดโลก

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เมื่อ เรย์ แบรดบิวรี่ครั้งแรกที่เขียนเรื่องสั้นของเขา " เสียงฟ้าร้อง " ในปี 1952 , เงื่อนไข " ทฤษฎีความอลวน " และ " ผล " ผีเสื้อยังเป็นชื่อว่า เขารู้ว่าไม่มีอะไรของวิทยาศาสตร์ของพลศาสตร์ไม่เชิงเส้น แต่เขาจัดการแสดงอุดมการณ์ของในนี้มากมาย โอดีสซี เวลาเดินทาง ในช่วงปี 1960 , เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ บิดาของทฤษฎีความอลวนพบว่า ผลจากการทดลองในระบบสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยการเปลี่ยนแปลงปริมาณน้อยมากในข้อมูลเบื้องต้น การค้นพบนี้ได้นำเกี่ยวกับความเชื่อพื้นฐานของทฤษฎีโกลาหล ซึ่งขณะนั้นกระทู้จาก " เสียงฟ้าร้อง " ; การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆในเงื่อนไขเบื้องต้นของระบบพลวัตสามารถผลิตขนาดใหญ่ในรูปแบบผลลัพธ์แบรดเบอรีแสดงความเชื่อพื้นฐานของทฤษฎีนี้ในรายละเอียดเพิ่มเติม โดยให้ตัวอย่างของวิธีการผลกระทบผีเสื้ออาจเกิดขึ้นในสถานการณ์สมมตินี้ แสดงว่า ทุกการกระทำมีการสะเทือน และอธิบายได้ว่าขนาดของการกระทำมีการแบกไม่มีในผลกระทบในที่สุด

ตัวอย่างจากโปรแกรมพลวัตแบบไม่เชิงเส้นในเรื่องราว แบรดเบอรี่ก็มีชุกชุมผ่านนิยายวิทยาศาสตร์มโนทัศน์เรื่องการเดินทางข้ามเวลา ตัวละครของเรื่องสั้นเข้าร่วมในการล่าสัตว์ซาฟารี 65 ล้านปีในอดีตเพื่อฆ่าเป้าหมายสุดท้าย– Tyrannosaurus Rex นี้การขนส่งข้ามระยะเวลาให้ผู้เขียนแพลตฟอร์มเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของเขา เมื่อตัวละครหลักที่เป็นผู้ชายก็ชื่อ eckles ขั้นตอนจากลอยเส้นทางที่ช่วยปกป้องความเปราะบางสภาพแวดล้อมและประวัติศาสตร์ทับผีเสื้อ แบรดบิวรีเสนอสิ่งเร้าเพื่อการทดลอง เมื่อตัวละคร ' กลับไปในอนาคต เราพบว่า การเปลี่ยนแปลงในองค์ประกอบเบื้องต้นเล็กๆ นี้ได้นำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโลกที่ตัวละครอยู่ เราเห็นผ่านตา eckles ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้ และที่เขาเพิ่งออกไปครั้งแรกที่เขาสังเกตเห็นว่าห้อง D éสีเปลี่ยนไป และอากาศที่มีกลิ่นที่แตกต่างกันไป แล้วเขาก็มองป้ายที่ประตูทางเข้า เพราะความผิดพลาดเล็ก ๆของเขาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด มีการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายเปลี่ยน เราหาในความเป็นจริงใหม่นี้คือการที่ประธานาธิบดีคนใหม่ที่รักของสหรัฐอเมริกา คีธ ไม่ได้ชนะการเลือกตั้ง ในรุ่นนี้แต่แพ้สังคมนิยม , deutscher

ตั้งแต่เขาก้าวผ่านประตูด้านหน้าของ Safari , อิงค์ , eckles บอกว่าทุกการตัดสินใจ เขาก็จะมีผล วิธีแรกนี้จะนำเสนอในรูปแบบของการปรับ คู่มือ Safari , ทราวิส บอก eckles ถ้าเขาไม่เชื่อฟังในอย่างไรก็ตามในขณะที่ในการเดินทางล่าสัตว์ เขาจะต้องเผชิญกับ $ 10000 ดีสำหรับการกระทำของเขา ในขณะที่ $ 10000 ไม่อาจเสียงเหมือนเป็นจํานวนมากของเงินในวันนี้เรื่องความผิดอย่างมหันต์ยุ่งกับกาลเวลา จํานวนเงินจะเท่ากับประมาณ $ 81 , 789.06 ในปี 2010 เมื่อการบัญชีสำหรับภาวะเงินเฟ้อ ผมเชื่อว่า แบรดบิวรี่ มีความหมายดีเหมือนโทษแข็งเมื่อเขาเขียนชิ้นของเขาความผิด eckles วิกฤตเกิดขึ้นเมื่อเขาฆ่าผีเสื้อ และสุดท้าย eckels ถูกฆ่าเพราะเขาแดกดันล้มเหลวที่จะเรียนรู้หลักการง่ายๆของเหตุและผล

Bradbury เจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ขนาดของเศรษฐกิจมีการแบกไม่มีในผลที่วางไว้นั้นอย่างชัดเจนในทางเลือกของสิ่งมีชีวิตที่เสนอใน เรื่องราว ส่วนใหญ่เขา juxtaposes ,น่ากลัว Tyrannosaurus Rex กับผีเสื้อเคราะห์ร้ายจ้อน ยังไม่ใช่ความตายของไทรันโนซอรัส เร็กซ์ ที่สร้างความวุ่นวาย ผลลัพธ์ของการเดินทางกลับในเวลาที่ แต่มันเป็นจุดสิ้นสุดของชีวิตของผีเสื้อที่นำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในโลกของตัวละคร ความคิดยังเป็นซ้ำในการฆาตกรรม eckles ในตอนท้ายของเรื่อง เพราะ eckles แตกเป็นผีเสื้อเขาถูกลอบสังหารโดย ทราวิส แสดงว่า สาเหตุที่ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงผล

" เสียงฟ้าร้อง " ชิ้นปฏิวัติของนิยายวิทยาศาสตร์ในยุคของมัน ได้แนะนำแนวคิดที่ทศวรรษข้างหน้าของเวลาของพวกเขา กลับมามองที่ชิ้นเกือบ 60 ปีของการสะท้อนทำให้ฉันคิดว่าถ้าเอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ถือเป็นบิดาแห่งทฤษฎีความอลวน จากนั้น เรย์ แบรดบิวรี่ ควร อย่างน้อยถือว่าเป็นลุงนอกรีต .