Despite the original focus on craft

Despite the original focus on crafted products, the declining demand for handicrafts in 1980 prompted a shift toward agricultural goods. Initially, coffee was the major commodity offered through Fair Trade, but it has since expanded to include other products such as tea, almonds, bananas, and olive oil. Coffee was a natural target for Fair Trade groups, as it is one of the few remaining international commodities that are still produced in small estates. Prior to 1973, strict quota agreements were in place among producing countries that helped stabilize prices and keep producer margins high. The collapse of regulation in 1973 resulted in the swift entry of new growers from regions such as Vietnam. The additional production of beans caused a drop in coffee prices to record lows and severely impacted the economic livelihood of producers.
In response, Fair Trade organizations partnered with producers in an effort to protect them from uncertain swings in global coffee prices. To promote economic well- being, the fair trade system uses two mechanisms. First, coffee purchasers agree to pay a minimum price for Fair Trade produced coffee. As of 2012, this minimum is set at $1.25 per pound. This creates economic stability as producers can be assured of a guaranteed price despite swings in global markets. If global prices for coffee increase above the $1.25 minimum, purchasers agree to pay a $0.10 premium. Exhibit 16- 1 illustrates the price differences between Non- Fair Trade and Fair Trade coffee from 1989–2007.
To be certified as a Fair Trade producer, farmers need to comply with an extensive list of production
criteria, including using environmentally friendly pest control measures, enhanced storage procedures for chemicals and fertilizers, strict waste management practices, and the avoidance of genetically modified (GM) seeds for growing. For labor, Fair Trade producers are required to supply adequate personal protective equipment, prevent child labor, avoid discrimination, and provide a healthy working environment by maintaining sanitary conditions. In addition, a portion of the Fair Trade premium received by producers must
be invested in the local community.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

แม้เดิมเน้นผลิตภัณฑ์ที่สร้างขึ้น ลดลงความต้องการใช้งานหัตถกรรมในพ.ศ. 2523 ให้กะต่อสินค้าเกษตร เริ่มแรก กาแฟเป็นสินค้าหลักที่นำเสนอผ่านทางแฟร์เทรด แต่เนื่องจากได้ขยายเพื่อรวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่นชา อัลมอนด์ กล้วย และน้ำมันมะกอก กาแฟถูกเป้าหมายธรรมชาติสำหรับกลุ่มแฟร์เทรด ซึ่งเป็นหนึ่งของน้อยเหลือต่างประเทศสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังผลิตในนิคมเล็ก ก่อน 1973 ข้อตกลงโควต้าที่เข้มงวดได้ในระหว่างการผลิตประเทศที่ช่วยรักษาเสถียรภาพราคา และเก็บผลิตขอบสูง การล่มสลายของระเบียบใน 1973 ผลในรายการรวดเร็วของเกษตรกรใหม่จากภูมิภาคเช่นเวียดนาม การผลิตเพิ่มเติมเมล็ดเกิดหยดกาแฟราคาบันทึก lows และรุนแรงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตทางเศรษฐกิจของผู้ผลิตตอบ ร่วมมือกับผู้ผลิตในความพยายามที่จะปกป้องพวกเขาจากกระเช้าชิงช้าไม่แน่นอนในราคากาแฟโลกองค์กรแฟร์เทรด เศรษฐกิจดีการส่งเสริม ระบบแฟร์เทรดใช้กลไกสอง ครั้งแรก กาแฟผู้ซื้อตกลงที่จะจ่ายราคาต่ำสุดสำหรับกาแฟผลิตแฟร์เทรด 2555 ขั้นต่ำนี้ถูกตั้งไว้ที่ $1.25 ต่อปอนด์ นี้สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจเป็นผู้ผลิตสามารถมั่นใจได้ของราคารับประกันแม้กระเช้าชิงช้าในตลาดโลก ถ้าราคากาแฟโลกเพิ่มเหนือต่ำ 1.25 ผู้ซื้อตกลงจะชำระเบี้ยประกัน $0.10 แสดง 16-1 แสดงให้เห็นความแตกต่างราคาระหว่างกาแฟไม่แฟร์เทรดและแฟร์เทรดจาก 1989 – 2007รับรองจะเป็นผู้ผลิตแฟร์เทรด เกษตรกรต้องสอดคล้องกับรายละเอียดของการผลิตเงื่อนไข การใช้มาตรการควบคุมศัตรูพืชที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งปรับปรุงขั้นตอนการจัดเก็บสารเคมี และปุ๋ย เข้มงวดเสียวิธีบริหารจัดการ และหลีกเลี่ยงของเมล็ด (กรัม) ดัดแปลงพันธุกรรมสำหรับการเจริญเติบโต สำหรับแรงงาน แฟร์เทรดผู้ผลิตจะต้องจัดหาอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เพียงพอ ป้องกันไม่ให้แรงงานเด็ก หลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติ และให้มีสุขภาพดีทำงานสภาพแวดล้อม โดยรักษาสภาพสุขาภิบาล แห่ง ของพรีเมี่ยมแฟร์เทรดที่ได้รับ โดยผู้ผลิตต้องจะลงทุนในชุมชนท้องถิ่น

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แม้จะมีการมุ่งเน้นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เดิมที่สร้างขึ้นมีความต้องการที่ลดลงสำหรับสินค้าหัตถกรรมในปี 1980 ได้รับแจ้งการเปลี่ยนแปลงที่มีต่อสินค้าเกษตร ในขั้นต้นกาแฟเป็นสินค้าหลักที่นำเสนอผ่านการค้าที่เป็นธรรม แต่ก็มีการขยายตัวมาตั้งแต่การรวมผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่นชา, อัลมอนด์, กล้วย, และน้ำมันมะกอก กาแฟเป็นเป้าหมายธรรมชาติสำหรับกลุ่มค้าที่เป็นธรรมตามที่มันเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ต่างประเทศเหลืออยู่ไม่กี่ที่ยังคงผลิตในนิคมอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ก่อนที่จะปี 1973 ข้อตกลงโควต้าที่เข้มงวดอยู่ในสถานที่ในหมู่ประเทศผู้ผลิตที่ช่วยรักษาเสถียรภาพราคาและรักษาอัตรากำไรขั้นต้นผลิตสูง การล่มสลายของกฎระเบียบในปี 1973 ส่งผลให้ในรายการที่รวดเร็วของเกษตรกรที่ปลูกใหม่จากภูมิภาคเช่นเวียดนาม การผลิตที่เพิ่มขึ้นของถั่วที่เกิดจากการลดลงของราคากาแฟในการบันทึกต่ำและผลกระทบอย่างรุนแรงทางเศรษฐกิจการทำมาหากินของผู้ผลิต.
ในการตอบสนององค์กร Trade Fair ร่วมมือกับผู้ผลิตในความพยายามที่จะปกป้องพวกเขาจากความไม่แน่นอนในชิงช้าราคากาแฟทั่วโลก เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดีเป็นระบบการค้าที่เป็นธรรมใช้กลไกสอง ครั้งแรกที่ซื้อเครื่องชงกาแฟตกลงที่จะจ่ายในราคาขั้นต่ำสำหรับการค้าที่เป็นธรรมผลิตเครื่องชงกาแฟ ในฐานะที่เป็นของปี 2012 ต่ำสุดนี้มีการตั้งค่าที่ $ 1.25 ต่อปอนด์ นี้จะสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในฐานะผู้ผลิตสามารถมั่นใจได้ในราคาประกันแม้จะมีชิงช้าในตลาดโลก หากราคาที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกสำหรับเครื่องชงกาแฟข้างต้นต่ำสุดที่ $ 1.25, ผู้ซื้อตกลงที่จะจ่ายเบี้ยประกัน 0.10 $ จัดแสดง 16 1 แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างราคาที่ไม่กระทบการค้าที่เป็นธรรมและงานแสดงสินค้าเครื่องชงกาแฟ 1989-2007.
ได้รับการรับรองเป็นผู้ผลิต Trade Fair เกษตรกรต้องปฏิบัติตามรายการที่กว้างขวางของการผลิต
เกณฑ์รวมถึงการใช้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาตรการการควบคุมศัตรูพืช วิธีการจัดเก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นสำหรับสารเคมีและปุ๋ย, การจัดการของเสียที่เข้มงวดและการหลีกเลี่ยงการดัดแปลงพันธุกรรม (GM) เมล็ดสำหรับการเจริญเติบโต สำหรับแรงงานผลิต Trade Fair จะต้องจัดหาที่เพียงพออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล, ป้องกันการใช้แรงงานเด็กให้หลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติและให้สภาพแวดล้อมการทำงานที่มีสุขภาพดีโดยการรักษาสุขอนามัย นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของพรีเมี่ยม Trade Fair ที่ได้รับจากผู้ผลิตจะต้อง
มีการลงทุนในชุมชนท้องถิ่น

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

แม้โฟกัสเดิมในร่างผลิตภัณฑ์ ความต้องการที่ลดลงสำหรับสินค้าหัตถกรรมใน 2523 แจ้งกะทางสินค้าทางการเกษตร ตอนแรกกาแฟเป็นหลัก สินค้าที่เสนอผ่านงานแสดงสินค้า แต่เนื่องจากมีการขยายเพื่อรวมผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ชาเขียว อัลมอนด์ กล้วย และน้ำมันมะกอก กาแฟเป็นเป้าหมายธรรมชาติสำหรับกลุ่มการค้าที่ยุติธรรมมันเป็นหนึ่งในไม่กี่ที่เหลือสินค้านานาชาติที่ยังคงผลิตในนิคมอุตสาหกรรมขนาดเล็ก ก่อนปี 1973 ข้อตกลงโควตาที่เข้มงวดในสถานที่ในประเทศที่ผลิตที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของราคา และเก็บขอบผู้ผลิตสูง การล่มสลายของระเบียบใน 1973 ส่งผลให้เกิดอย่างรวดเร็วรายการของผู้ปลูกใหม่จากภูมิภาค เช่น เวียดนามการผลิตเพิ่มเติมจากราคากาแฟถั่วลงในบันทึกน้อยลงและรุนแรงต่อความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจของผู้ผลิต .
ในการตอบสนอง , องค์กรการค้าที่ยุติธรรมร่วมมือกับผู้ผลิตในความพยายามที่จะปกป้องพวกเขาจากความแปรปรวนในราคากาแฟโลก เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดี - ถูก ระบบการค้าที่ยุติธรรม ใช้ สอง กลไก ครั้งแรกซื้อกาแฟ ยินยอมที่จะจ่ายราคาขั้นต่ำสำหรับงานแสดงสินค้าที่ผลิตกาแฟ ในฐานะของ 2012 ต่ำสุดนี้ตั้งไว้ที่ $ 1.25 ต่อปอนด์ นี้สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น ผู้ผลิตสามารถมั่นใจได้ในการรับประกันแม้จะมีชิงช้าราคาในตลาดโลก ถ้าราคาทั่วโลกกาแฟเพิ่มขึ้นเหนือ $ 1.25 ขั้นต่ำ ผู้ซื้อตกลงจ่ายพรีเมี่ยม $ 0.10 .แสดง 16 - 1 แสดงราคาความแตกต่างระหว่างองค์กรการค้าที่ยุติธรรมและการค้ากาแฟจากปี 1989 – 2550 .
จะได้รับการรับรองเป็นงานแสดงสินค้าผู้ผลิต เกษตรกรต้องสอดคล้องกับรายการที่กว้างขวางของเกณฑ์การผลิต
, รวมถึงการใช้มาตรการควบคุมศัตรูพืชที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงขั้นตอนการจัดเก็บสารเคมีและปุ๋ย แนวทางการจัดการของเสียอย่างเข้มงวดและหลีกเลี่ยงการดัดแปลงทางพันธุกรรม ( GM ) เมล็ดพันธุ์สำหรับปลูก แรงงานผลิตค้าที่เป็นธรรมจะต้องจัดหาอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่เพียงพอป้องกันไม่ให้แรงงานเด็ก หลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติ และให้สภาพแวดล้อมการทำงานมีสุขภาพดีโดยการรักษาสุขาภิบาล นอกจากนี้ในส่วนของงานแสดงสินค้าพรีเมี่ยมได้รับ โดยผู้ผลิตจะต้องลงทุน


ในชุมชนท้องถิ่น