In 1907 Ernest Rutherford published

In 1907 Ernest Rutherford published "Radiation of the α Particle from Radium in passing through Matter."[4] Hans Geiger expanded on this work in a communication to the Royal Society[5] with experiments he and Rutherford had done, passing alpha particles through air, aluminum foil and gold leaf. More work was published in 1909 by Geiger and Marsden,[6] and further greatly expanded work was published in 1910 by Geiger.[7] In 1911-1912 Rutherford went before the Royal Society to explain the experiments and propound the new theory of the atomic nucleus as we now understand it.

The key experiment behind this announcement was performed in 1910 at the University of Manchester: Ernest Rutherford's team performed a remarkable experiment in which Geiger and Ernest Marsden under Rutherford's supervision fired alpha particles (helium nuclei) at a thin film of gold foil. The plum pudding model had predicted that the alpha particles should come out of the foil with their trajectories being at most slightly bent. But Rutherford instructed his team to look for something that shocked him to observe: a few particles were scattered through large angles, even completely backwards in some cases. He likened it to firing a bullet at tissue paper and having it bounce off. The discovery, with Rutherford's analysis of the data in 1911, led to the Rutherford model of the atom, in which the atom had a very small, very dense nucleus containing most of its mass, and consisting of heavy positively charged particles with embedded electrons in order to balance out the charge (since the neutron was unknown). As an example, in this model (which is not the modern one) nitrogen-14 consisted of a nucleus with 14 protons and 7 electrons (21 total particles) and the nucleus was surrounded by 7 more orbiting electrons.

The Rutherford model worked quite well until studies of nuclear spin were carried out by Franco Rasetti at the California Institute of Technology in 1929. By 1925 it was known that protons and electrons each had a spin of 1⁄2. In the Rutherford model of nitrogen-14, 20 of the total 21 nuclear particles should have paired up to cancel each other's spin, and the final odd particle should have left the nucleus with a net spin of 1⁄2. Rasetti discovered, however, that nitrogen-14 had a spin of 1.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ใน การเผยแพร่เออร์เนสต์รูเทอร์ฟอร์ด "ของαอนุภาคจากเรเดียมในผ่านเรื่องนี้" [4] ฮันส์วัดขยายงานนี้ในการสื่อสารไปยังราชสมาคม [5] กับการทดลองที่เขาและรูเทอร์ฟอร์ดทำ ส่งอนุภาคแอลฟาผ่านอากาศ อลูมิเนียมฟอยล์ และทอง ทำงานมากขึ้นเผยแพร่ในปี 1909 โดยวัดและมาร์สเดน, [6] และการขยายอย่างมากงานประกาศใน 1910 โดยวัด [7] ในปี 1911-1912 รูเทอร์ฟอร์ดเดินก่อนราชสมาคมในการอธิบายการทดลอง และ propound นิวเคลียสอะตอมทฤษฎีใหม่ ตามที่เราเข้าใจได้ทันทีทำการทดลองที่สำคัญหลังประกาศนี้ใน 1910 ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์: เออร์เนสต์รูเทอร์ฟอร์ดทีมดำเนินการทดลองที่โดดเด่นที่วัดและเออร์เนสต์มาร์สเดนภายใต้การดูแลของรูเทอร์ฟอร์ดยิงอนุภาคแอลฟา (นิวเคลียสของฮีเลียม) ที่ฟิล์มฟอยล์ทอง แบบจำลองอะตอมได้คาดการณ์ไว้ว่า อนุภาคแอลฟาควรมาจากฟอยล์กับทีมของพวกเขาจะงอเล็กน้อยที่สุด แต่รูเทอร์ฟอร์ดแนะนำทีมงานของเขาเพื่อค้นหาสิ่งที่ตกใจเขาสังเกต: กี่อนุภาคที่กระจายผ่านมุมขนาดใหญ่ ได้อย่างสมบูรณ์ย้อนหลังในบางกรณี เขาจักสานก็จะยิงกระสุนที่เยื่อกระดาษ และมีมันเด้ง การค้นพบ มีของรูเทอร์ฟอร์ดวิเคราะห์ข้อมูลใน 1911 นำแบบจำลองรัทเทอร์ฟอร์ดของอะตอม อะตอมซึ่งมีนิวเคลียสขนาดเล็กมาก หนาแน่นมากที่ประกอบด้วยของของมวล และประกอบด้วยของหนักอนุภาคที่มีประจุบวกกับอิเล็กตรอนฝังตัวเพื่อความสมดุลออกค่าใช้จ่าย (ตั้งแต่นิวตรอนไม่รู้จัก) ตัวอย่างเช่น ในรูปแบบนี้ (ซึ่งไม่ทันสมัย) ไนโตรเจน-14 ประกอบด้วยนิวเคลียสมี 14 โปรตอนและอิเล็กตรอน 7 (อนุภาครวม 21) และนิวเคลียสถูกล้อมรอบ ด้วยอิเล็กตรอนลักษณะเพิ่มเติม 7รูเทอร์ฟอร์ดรุ่นที่ทำงานค่อนข้างดีจนการศึกษาของนิวเคลียร์สปินที่ดำเนินการ โดย Rasetti ฝรั่งเศสที่แคลิฟอร์เนียสถาบันเทคโนโลยีใน โดย 1925 มันถูกเรียกว่า โปรตอนและอิเล็กตรอนแต่ละมีการหมุนและฟิต ในแบบจำลองรัทเทอร์ฟอร์ดของไนโตรเจน-14, 20 ของอนุภาคนิวเคลียร์ 21 รวมควรมีที่จับคู่ค่ายกเลิกกันหมุน และอนุภาคแปลกสุดท้ายควรมีเหลือนิวเคลียส ด้วยการหมุนสุทธิของและฟิต Rasetti ค้นพบ อย่างไรก็ตาม ไนโตรเจน-14 ที่มีสปิน 1

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ในปี 1907 Ernest Rutherford ตีพิมพ์ "รังสีของอนุภาคαจากเรเดียมในผ่านเรื่อง." [4] ฮันส์ไกเกอร์ขยายตัวในงานนี้ในการสื่อสารไปยังราชสมาคม [5] กับการทดสอบและเขา Rutherford ได้ทำผ่านอนุภาคแอลฟาผ่าน อากาศอลูมิเนียมฟอยล์และใบไม้สีทอง การทำงานมากขึ้นได้รับการตีพิมพ์ในปี 1909 โดยวัดและ Marsden [6] และการทำงานต่อการขยายตัวมากถูกตีพิมพ์ในปี 1910 โดยวัด. [7] 1911-1912 รัทเธอร์ไปก่อนที่จะ Royal Society ที่จะอธิบายการทดลองและ propound ทฤษฎีใหม่ของ . นิวเคลียสเป็นตอนนี้เราเข้าใจการทดลองที่สำคัญที่อยู่เบื้องหลังการประกาศครั้งนี้ได้ดำเนินการในปี 1910 ที่มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์: ทีม Ernest Rutherford ของการดำเนินการทดลองที่น่าทึ่งที่วัดและเออร์เนส Marsden ภายใต้การดูแลของ Rutherford ยิงอนุภาคแอลฟา (นิวเคลียสฮีเลียม) ที่บาง ฟิล์มฟอยล์สีทอง รุ่นพลัมพุดดิ้งได้คาดการณ์ว่าอนุภาคอัลฟาควรจะออกมาของกระดาษฟอยล์กับลูกทีมของพวกเขาเป็นอย่างมากงอเล็กน้อย แต่รัทเธอร์สั่งให้ทีมของเขาจะมองหาสิ่งที่เขาตกใจที่จะสังเกต: อนุภาคไม่กี่กระจัดกระจายผ่านมุมขนาดใหญ่แม้จะสมบูรณ์ไปข้างหลังในบางกรณี เขาเปรียบในการยิงกระสุนที่กระดาษทิชชูและมีมันกระเด็น การค้นพบที่มีการวิเคราะห์รัทเทอร์ฟอร์ดของข้อมูลในปี 1911 นำไปสู่รูปแบบ Rutherford ของอะตอมซึ่งในอะตอมมีขนาดเล็กมากนิวเคลียสหนาแน่นมากที่มีส่วนใหญ่ของมวลของมันและประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุบวกหนักกับอิเล็กตรอนที่ฝังอยู่ใน เพื่อความสมดุลออกค่าใช้จ่าย (ตั้งแต่นิวตรอนเป็นที่รู้จัก) ตัวอย่างเช่นในรูปแบบนี้ (ซึ่งไม่ได้เป็นคนที่ทันสมัย) ไนโตรเจน-14 ประกอบด้วยนิวเคลียสกับ 14 โปรตอนและ 7 อิเล็กตรอน (21 อนุภาคทั้งหมด) และนิวเคลียสถูกล้อมรอบด้วย 7 อิเล็กตรอนที่โคจรรอบมากขึ้น. รุ่น Rutherford ทำงานค่อนข้างดี จนกว่าการศึกษาของการหมุนนิวเคลียร์ได้ดำเนินการโดยฝรั่งเศส Rasetti ที่ California Institute of Technology ในปี 1929 โดย 1925 มันเป็นที่รู้จักว่าโปรตอนและอิเล็กตรอนแต่ละคนมีสปินของ 1/2 ในรูปแบบของ Rutherford ไนโตรเจน 14 20 จากทั้งหมด 21 อนุภาคนิวเคลียร์ควรจะมีการจับคู่เพื่อยกเลิกการสปินของแต่ละคนและอนุภาคแปลกสุดท้ายควรคอมนิวเคลียสที่มีสปินสุทธิ 1/2 Rasetti ค้นพบ แต่ที่ไนโตรเจน-14 มีสปิน 1