กฎหมายและประโยชน์ทางภาษีในการจ้างงานคนพิการ และสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างแรงงานคนพิการ
โดย ศาสตราจารย์ วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์
.............................
1. ค่าจ้างคนพิการเข้าทำงาน
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งรับคนพิการเข้าทำงาน มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายในการจ้างคนพิการดังกล่าว ตามมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 499 พ.ศ. 2553
แต่เดิมค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเดือนหรือค่าจ้างคนพิการ นายจ้างสามารถนำค่าจ้างนั้นมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริงเท่านั้น เช่น ค่าจ้างคนพิการปีละ 120,000 บาท ก็นำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการได้ 120,000 บาท ไม่ต่างจากลูกจ้างทั่วไปแต่อย่างใด
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างจ้างแรงงานคนพิการ มาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 499
พ.ศ. 2553 กำหนดว่า “ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งรับคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเข้าทำงานสำหรับเงินได้ เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างคนพิการดังกล่าว”
นั่นหมายความว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการสามารถนำค่าจ้างคนพิการมาหักเป็นรายจ่ายเพิ่มได้ถึง 2 เท่าของที่จ่ายเป็นค่าจ้างคนพิการ ในกรณีนี้ค่าจ้างที่จ่ายจริงคือ 120,000 บาท สามารถถือเป็นรายจ่ายได้ถึง 240,000 บาททั้ง ๆ ที่จ่ายค่าจ้างคนพิการเพียง 120,000 บาทเท่านั้น
ผลที่ตามมาเท่ากับรัฐบาลได้ช่วยจ่ายค่าจ้างแรงงานคนพิการในรูปของประโยชน์ทางภาษี นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเสียภาษีอัตราเท่าใด ก็ได้รับประโยชน์เท่ากับร้อยละของอัตราภาษีนั้น โดยทั่วไปห้างหุ้นส่วนบริษัทเสียภาษีในอัตราร้อยละ 23 ย่อมหมายความว่ารัฐบาลได้ช่วยออกค่าจ้างในรูปภาษีร้อยละ 23 คิดเป็นจำนวนเงิน 120,000 * 23/100 = 27,600 บาท แสดงว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจ่ายจริงเพียง 92,400 บาท เท่านั้น ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการจ้างคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการเท่านั้น
2. รายจ่ายในการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการแก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายในการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการดังกล่าวแก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ
โดยทั่วไปรายจ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการในการจ้างงาน เช่น อุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่งหรือบริการสาธารณะ นายจ้างสามารถนำค่าจ้างนั้นมาหักเป็น
ค่าเสื่อมราคาหรือค่าใช้จ่ายได้แล้วแต่กรณี ในกรณีที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบเสียค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้างเป็นเงิน 100,000 บาท ย่อมสามารถหากหักเป็นเสื่อมราคาหรือถือเป็นรายจ่ายได้ 100,000 บาทอยู่แล้วตามปกติ
แต่เพื่อส่งเสริมให้มีการจ้างแรงงานพิการ มาตรา 4 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 499 พ.ศ. 2553 กำหนดว่า “ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่เจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่น ซึ่งได้จัดอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือบริการสาธารณะอื่น ให้แก่คนพิการในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (มาตรา 37) สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการดังกล่าว”
นั่นหมายความว่ารัฐบาลได้ช่วยออกค่าใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการแก่ลูกจ้างพิการในรูปของประโยชน์ทางภาษี นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเสียภาษีอัตราเท่าใด ก็ได้รับประโยชน์เท่ากับร้อยละของอัตราภาษีนั้น
โดยทั่วไปห้างหุ้นส่วนบริษัทเสียภาษีในอัตราร้อยละ 23 ย่อมหมายความว่ารัฐบาลได้ช่วยออกค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกจ้างพิการในรูปภาษีร้อยละ 23 ซึ่งนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการหรือเจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่น ได้เสียค่าใช้จ่ายสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้างพิการหรือจัดให้คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท รัฐบาลก็ช่วยออกค่าใช้จ่ายดังกล่าวด้วย เป็นเงินจำนวน 100,000 × 23/100 = 23,000 บาท แสดงว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจ่ายจริงเพียง 77,000 บาทเท่านั้น
ค่าสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก 1 แสนบาท รัฐบาลช่วยจ่าย = 100,000 × 23/100
= 23,000
ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะได้รับก็ต่อเมื่อมีลูกจ้างที่มีบัตรประจำตัวคนพิการเข้าทำงานเท่านั้น
3. มีลูกจ้างพิการมากกว่าร้อยละ 60 ของลูกจ้างทั้งหมด
ตามมาตรา 38 ของ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 กำหนดว่า “นายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างคนพิการเข้าทำงานมากกว่าร้อยละหกสิบของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้น โดยมีระยะเวลาจ้างเกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้น ทั้งนี้ตามที่กฎหมายกำหนด”
ในกรณีนี้กรมสรรพากรต้องการให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้แก่กิจการซึ่งต้องใช้แรงงานจำนวนมาก
จึงได้เสนอให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างแรงงานคนพิการเกินกว่าร้อยละ 60 มีสิทธิได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนเพิ่มเติมอีกร้อยละหนึ่งร้อย ซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีคงจะออกเป็นกฎหมายโดยเร็ววัน
นั่นหมายความว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างแรงงานคนพิการเกินกว่าร้อยละ 60
มีสิทธินำค่าจ้างคนพิการมาหักเป็นรายจ่ายได้ 3 เท่าของค่าใช้จ่ายจริง กรณีที่จ้างคนพิการ 100,000 บาท/ คน/ ปี ก็มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายได้ถึง 300,00
กฎหมายและประโยชน์ทางภาษีในการจ้างงานคนพิการและสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างแรงงานคนพิการ โดยศาสตราจารย์วิริยะนามศิริพงศ์พันธุ์.............................1. ค่าจ้างคนพิการเข้าทำงาน นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งรับคนพิการเข้าทำงานมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายในการจ้างคนพิการดังกล่าวตามมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 499 พ.ศ. 2553 แต่เดิมค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเดือนหรือค่าจ้างคนพิการนายจ้างสามารถนำค่าจ้างนั้นมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริงเท่านั้นเช่นค่าจ้างคนพิการปีละ 120,000 บาทต่อก็นำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการได้ 120,000 บาทต่อไม่ต่างจากลูกจ้างทั่วไปแต่อย่างใด เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างจ้างแรงงานคนพิการมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 499 พ.ศ. 2553 กำหนดว่า "ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการซึ่งรับคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเข้าทำงานสำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างคนพิการดังกล่าว" บาทเท่านั้นนั่นหมายความว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการสามารถนำค่าจ้างคนพิการมาหักเป็นรายจ่ายเพิ่มได้ถึง 2 เท่าของที่จ่ายเป็นค่าจ้างคนพิการในกรณีนี้ค่าจ้างที่จ่ายจริงคือ 120,000 บาทต่อสามารถถือเป็นรายจ่ายได้ถึง 240,000 บาททั้งๆ ที่จ่ายค่าจ้างคนพิการเพียง 120,000ผลที่ตามมาเท่ากับรัฐบาลได้ช่วยจ่ายค่าจ้างแรงงานคนพิการในรูปของประโยชน์ทางภาษีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเสียภาษีอัตราเท่าใดก็ได้รับประโยชน์เท่ากับร้อยละของอัตราภาษีนั้นโดยทั่วไปห้างหุ้นส่วนบริษัทเสียภาษีในอัตราร้อยละ 23 ย่อมหมายความว่ารัฐบาลได้ช่วยออกค่าจ้างในรูปภาษีร้อยละ 23 คิดเป็นจำนวนเงิน 120,000 * 23/100 = 27,600 บาทต่อแสดงว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจ่ายจริงเพียง 92,400 บาทต่อเท่านั้นทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการจ้างคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการเท่านั้น 2. รายจ่ายในการจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการแก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายในการจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการดังกล่าวแก่ลูกจ้างที่เป็นคนพิการ โดยทั่วไปรายจ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการในการจ้างงานเช่นอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการในอาคารสถานยานพาหนะบริการขนส่งหรือบริการสาธารณะนายจ้างสามารถนำค่าจ้างนั้นมาหักเป็นบาทอยู่แล้วตามปกติย่อมสามารถหากหักเป็นเสื่อมราคาหรือถือเป็นรายจ่ายได้ 100,000 ค่าเสื่อมราคาหรือค่าใช้จ่ายได้แล้วแต่กรณีในกรณีที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบเสียค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้างเป็นเงิน 100,000 บาทแต่เพื่อส่งเสริมให้มีการจ้างแรงงานพิการ มาตรา 4 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 499 พ.ศ. 2553 กำหนดว่า “ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่เจ้าของอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่น ซึ่งได้จัดอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการในอาคาร สถานที่ ยานพาหนะ บริการขนส่ง หรือบริการสาธารณะอื่น ให้แก่คนพิการในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (มาตรา 37) สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีอุปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก หรือบริการดังกล่าว” นั่นหมายความว่ารัฐบาลได้ช่วยออกค่าใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการแก่ลูกจ้างพิการในรูปของประโยชน์ทางภาษีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเสียภาษีอัตราเท่าใดก็ได้รับประโยชน์เท่ากับร้อยละของอัตราภาษีนั้น โดยทั่วไปห้างหุ้นส่วนบริษัทเสียภาษีในอัตราร้อยละ 23 ย่อมหมายความว่ารัฐบาลได้ช่วยออกค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกจ้างพิการในรูปภาษีร้อยละ 23 ซึ่งนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการหรือเจ้าของอาคารสถานยานพาหนะบริการขนส่งหรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่นได้เสียค่าใช้จ่ายสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้างพิการหรือจัดให้คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาทต่อรัฐบาลก็ช่วยออกค่าใช้จ่ายดังกล่าวด้วยเป็นเงินจำนวน 100,000 × 23/100 = 23,000 บาทต่อแสดงว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจ่ายจริงเพียง 77,000 บาทเท่านั้น ค่าสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก 1 แสนบาท รัฐบาลช่วยจ่าย = 100,000 × 23/100= 23,000ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะได้รับก็ต่อเมื่อมีลูกจ้างที่มีบัตรประจำตัวคนพิการเข้าทำงานเท่านั้น3. มีลูกจ้างพิการมากกว่าร้อยละ 60 ของลูกจ้างทั้งหมดพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการนั้น ๆ ตามมาตรา 38 พ.ศ. 2550 กำหนดว่า "นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างคนพิการเข้าทำงานมากกว่าร้อยละหกสิบของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้นโดยมีระยะเวลาจ้างเกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใดมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในปีภาษีนั้นทั้งนี้ตามที่กฎหมายกำหนด"ในกรณีนี้กรมสรรพากรต้องการให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้แก่กิจการซึ่งต้องใช้แรงงานจำนวนมาก จึงได้เสนอให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างแรงงานคนพิการเกินกว่าร้อยละ 60 มีสิทธิได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนเพิ่มเติมอีกร้อยละหนึ่งร้อยซึ่งเรื่องนี้ได้ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีคงจะออกเป็นกฎหมายโดยเร็ววัน นั่นหมายความว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่จ้างแรงงานคนพิการเกินกว่าร้อยละ 60 มีสิทธินำค่าจ้างคนพิการมาหักเป็นรายจ่ายได้ 3 เท่าของค่าใช้จ่ายจริงกรณีที่จ้างคนพิการ 100,000 บาท / คน / ปีก็มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายได้ถึง 300,00
การแปล กรุณารอสักครู่..
ประโยชน์และกฎหมายทางภาษีในห้างหุ้นส่วนจำกัดหัวเรื่อง: การจ้างเป็นงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายของคุณคนพิการและสิทธิประโยชน์อื่นสำหรับนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบหัวเรื่อง: การที่จ้างเป็นแรงงานของคุณคนพิการ
โดยศาสตราจารย์วิริยะนามศิริพงศ์พันธุ์
................. ............
1 ค่าจ้างเป็นของคุณคนพิการเข้าทำงาน
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบหัวเรื่อง: การซึ่งรับของคุณคนพิการเข้าทำงานมีสิทธิได้รับทางทหารภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยคุณละคุณหนึ่งร้อยของรายจ่ายในห้างหุ้นส่วนจำกัดหัวเรื่อง: การจ้างเป็นของคุณคนพิการดังกล่าวตามมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 499 พ. ศ . 2553
แต่เดิมค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเดือน หรือค่าจ้างคนพิการนายจ้างสามารถนำค่าจ้างนั้นมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เท่าที่จ่ายจริงเท่านั้นเช่นค่าจ้างคนพิการปีละ 120,000 บาทก็นำมาหักเป็นค่าใช้ จ่ายของ กิจการได้ 120,000 ไม่ต่างบาทจากเนชั่ลูกจ้างทั่วไปการ แต่อย่างใด
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นายจ้างจ้างเป็นแรงงานของคุณคนพิการมาตรา 3 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 499
พ.ศ. 2553 กำหนดว่า "ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่นายจ้างหรือเจ้าของสถาน ประกอบการซึ่งรับคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคน พิการเข้าทำงานสำหรับเงินได้เป็นจำนวน ร้อยละหนึ่งร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างคนพิการดังกล่าว "
นั่นหมายความว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบ การสามารถนำค่าจ้างคนพิการมาหักเป็นรายจ่ายเพิ่มได้ ถึง 2 เท่าของที่จ่ายเป็นค่าจ้างคน พิการในกรณีนี้ค่าจ้างที่จ่ายจริงคือ 120,000 บาทสามารถถือเป็นรายจ่ายได้ถึง 240,000 บาททั้ง ๆ ที่จ่ายค่าจ้างคน พิการเพียง 120,000 บาทเท่านั้น
ผลที่ตามมาเท่ากับรัฐบาลได้ช่วย จ่ายค่าจ้างแรงงานคนพิการในรูป ของประโยชน์ทางภาษีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเสียภาษีอัตราเท่าใดก็ได้รับประโยชน์เท่ากับร้อยละของอัตราภาษีนั้นโดยทั่วไปห้างหุ้นส่วน บริษัท เสียภาษีในอัตราร้อยละ 23 ย่อมหมายความว่ารัฐบาลได้ช่วยออก ค่าจ้างในรูปภาษีร้อยละ 23 คิดเป็นจำนวนเงิน 120,000 * 23/100 = 27,600 บาทแสดงว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบ การจ่ายจริงเพียง 92,400 บาทเท่านั้นทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่านายจ้าง หรือเจ้าของสถานประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์ เฉพาะการจ้างคนพิการที่มีบัตร ประจำตัวคนพิการเท่านั้น
2 รายจ่ายในห้างหุ้นส่วนจำกัดหัวเรื่อง: การจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสามารถสะดวกหรือบริการแก่ลูกจ้างที่เป็นของคุณคนพิการ
นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบหัวเรื่อง: การมีสิทธิได้รับทางทหารภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยคุณละคุณหนึ่งร้อยของรายจ่ายในห้างหุ้นส่วนจำกัดหัวเรื่อง: การจัดให้มีอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสามารถสะดวกหรือ บริการดังกล่าวแก่ลูกจ้างที่เป็นของคุณคนพิการ
โดยทั่วไปการรายจ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการในห้างหุ้นส่วนจำกัดหัวเรื่อง: การจ้างเป็นงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเช่นอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสามารถสะดวกหรือบริการในห้างหุ้นส่วนจำกัดอาคารสถานที่ยานพาหนะบริการขนส่งหรือบริการสาธารณะนายจ้างด้านนำค่าจ้างเป็นนั้นมาหักเป็น
ค่าเสื่อมราคา หรือค่าใช้จ่ายได้แล้วแต่กรณีใน กรณีที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบเสียค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้างเป็นเงิน 100,000 บาทย่อมสามารถหากหักเป็นเสื่อมราคา หรือถือเป็นรายจ่ายได้ 100,000 บาทขณะนี้แล้วตามปกติ
แต่ เพื่อส่งเสริมให้มีการจ้างแรงงานพิการ มาตรา 4 ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 499 พ.ศ. 2553 กำหนดว่า "ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 2 และส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่เจ้าของอาคารสถานที่ ยานพาหนะบริการขนส่งหรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่นซึ่งได้จัดอุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการในอาคารสถานที่ ยานพาหนะบริการขนส่งหรือบริการสาธารณะอื่น ให้แก่คนพิการในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (มาตรา 37) สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่ง ร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็น ค่าใช้จ่ายในการจัดให้มี อุปกรณ์สิ่งอำนวยความสะดวกหรือบริการดังกล่าว "
นั่นหมายความว่ารัฐบาลได้ช่วยออกค่า ใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการแก่ลูกจ้างพิการในรูปของประโยชน์ทางภาษีนายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการเสียภาษีอัตราเท่าใดก็ได้ รับประโยชน์เท่ากับร้อยคุณละของอัตราสมัครภาษีนั้น
โดยทั่วไปการห้างหุ้นส่วน บริษัท บริษัท เสียภาษีในห้างหุ้นส่วนจำกัดอัตราสมัครร้อยคุณละ 23 ย่อมหมายความว่ารัฐบาลได้ช่วยออกค่า ใช้จ่ายเพื่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับลูกจ้างพิการในรูปภาษีร้อยละ 23 ซึ่งนายจ้างหรือเจ้าของสถาน ประกอบการหรือเจ้าของอาคารสถานที่ยาน พาหนะบริการขนส่งหรือผู้ให้บริการสาธารณะอื่นได้เสียค่าใช้จ่ายสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ลูกจ้างพิการหรือจัดให้คนพิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาทรัฐบาลก็ช่วยออกค่าใช้ จ่ายดังกล่าวด้วยเป็นเงินจำนวน 100,000 × 23/100 = 23,000 บาทแสดงว่านายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบ การจ่ายจริงเพียง 77,000 เท่านั้นบาท
ค่าสร้างสิ่งอำนวยความสามารถสะดวก 1 แสนบาทรัฐบาลช่วยจ่าย = 100,000 × 23/100
= 23,000
ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษี นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะได้รับก็ต่อเมื่อมีลูกจ้างที่มีบัตรประจำตัวคนพิการเข้าทำงานเท่านั้น
3 มีลูกจ้างพิการมากกว่าร้อยละ 60 ลูกจ้างทั้งหมดของ
ตามมาตรา 38 ของพ. ร. บ. ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 กำหนดว่า "นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการที่จ้าง คนพิการเข้าทำงานมากกว่าร้อยละหกสิบของลูกจ้างในสถานประกอบการนั้นโดยมีระยะเวลาจ้างเกินกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใดมีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ใน ปีภาษีนั้นทั้งนี้ตามที่กฎหมายกำหนด "
ในห้างหุ้นส่วนจำกัดกรณีนี้ผู้แต่ง: กรมสรรพากรต้องการให้มีหัวเรื่อง: การทางทหารภาษีเงินได้แก่กิจการซึ่งคุณต้องใช้แรงงานจำนวนมาก
จึงได้เสนอให้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบหัวเรื่อง: การที่จ้างเป็นแรงงานของคุณคนพิการเกินกว่าร้อยคุณละ 60 มีสิทธิ ได้รับทางทหารหรือลดหย่อนเพิ่มเติมอีกร้อยคุณละคุณหนึ่งร้อยซึ่งเรื่องนี้ได้ทางทหารผ่านความสามารถเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีคงจะออกเป็นกฎหมายโดยเร็วการธนาคารวัน
นั่นหมายความว่าได้นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบหัวเรื่อง: การที่จ้างเป็นแรงงานของคุณคนพิการเกินกว่าร้อยคุณละ 60
มีสิทธินำ ค่าจ้างคนพิการมาหักเป็นรายจ่าย ได้ 3 เท่าของค่าใช้จ่ายจริงกรณีที่ จ้างคนพิการ 100,000 บาท / คน / ปีก็มีสิทธิหักค่าใช้จ่าย ได้ถึง 300,00
การแปล กรุณารอสักครู่..