ประวัติศาสตร์ ทุ่งสัมฤทธิ์
อนุสรณ์สถานวีรกรรมทุ่งสัมฤทธิ์ตั้งอยู่ในเขตบ้านสัมฤทธิ์ หมู่ที่ 1 ตำบลสัมฤทธิ์ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา อยู่ห่างจากตัวจังหวัดนครราชสีมา 46 กิโลเมตร โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพ นครราชสีมา – ขอนแก่น
สำหรับความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้จุดเริ่มต้นมาจากเจ้า อนุวงศ์ซึ่งครองเวียงจันทน์พร้อมกองทัพใหญ่หมายจะยึดกรุงรัตนโกสินทร์ มูลเหตุมาจากโอกาสที่เจ้าอนุวงศ์มาถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัย ในปี พ.ศ. 2367 ได้ทูลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขอแบ่งชาวเวียงจันทน์เมื่อครั้ง ถูกกวาดต้อนลงมายังไทยครั้งสงครามสมัยกรุงธนบุรี พระองค์ดำริว่าไม่เหมาะ จึงไม่พระราชทานให้ เจ้าอนุวงศ์รู้สึกอัปยศ เมื่อกลับไปยังเมืองแล้วก็คิดแผนกบฏต่อไทย
พ.ศ. 2369 มีข่าวลือว่าอังกฤษจะนำเรือรบมายึดกรุงเทพมหานคร เจ้าอนุวงศ์เห็นเป็นโอกาส จึงยกกองทัพมายึดหัวเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ทัพที่จัดมามี 3 ทัพ ได้แก่ ทัพเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ของเจ้าราชบุตร ยกเข้ามาทางอุบลราชธานี, ทัพของพระอุปราช ยกเข้ามาทางร้อยเอ็ด และทัพหลวงของเจ้าอนุวงศ์ยกมาทางนครราชสีมา
เจ้าอนุวงศ์ออกอุบายแก่เจ้าเมืองตามรายทางว่า อังกฤษกำลังเตรียมนำทัพเรือมายึดกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้เจ้าอนุวงศ์เกณฑ์กองทัพ เวียงจันทน์ลงมาช่วยทำศึก เจ้าเมืองตามรายทาง เช่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ขอนแก่น สุรินทร์ ขุขันธ์ หลงเชื่อและให้การสนับสนุนเจ้าอนุวงศ์ ยอมให้เดินทัพผ่านโดยสะดวก และมอบเสบียงอาหารให้เพิ่มเติมด้วย จนกระทั่งทัพเวียงจันทน์มาถึงนครราชสีมา ขณะนั้นพระยานครราชสีมาและพระยาปลัดไม่อยู่ว่าราชการ เจ้าอนุวงศ์ก็เข้ายึดนครราชสีมาและส่งกองทัพไปกวาดต้อนผู้คนถึงสระบุรี
ระหว่างเดินทางแผนการกอบกู้อิสรภาพของชาวนครราชสีมาได้ถูกกำหนดขึ้น โดยคุณหญิงโมซึ่งเป็นภริยาของพระยาสุรเดชวิเศษฤทธิ์ทศทิศวิชัย (ปลัดทองคำ) ปลัดเมืองนครราชสีมาขณะนั้น ซึ่งมีนางสาวบุญเหลือบุตรีหลวงเจริญกรมการเมืองนครราชสีมา ได้มีส่วนร่วมให้ข้อปรึกษาอย่างใกล้ชิด คุณหญิงโมได้มอบหมายให้นางสาวบุญเหลือซึ่งเสมือนเป็นหลานของท่านเป็นผู้รับ แผนการไปปฏิบัติ ด้วยความสำนึกที่จงรักภักดีต่อประเทศชาติและพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์ จักรี นางสาวบุญเหลือจึงรับดำเนินการตามแผนการของคุณหญิงโม
ดังนั้นเมื่อเดินทางมาถึงทุ่งสัมฤทธิ์ แขวงเมืองพิมาย แผนการที่ถูกกำหนดขึ้นก็ได้นำออกมาปฏิบัติ โดยเหล่าทหารเวียงจันทน์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากเชลยศึกต่างก็มึนเมาตก อยู่ในความประมาทขาดความระมัดระวัง ครั้นถึงเวลาสองยามไปแล้วของวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2369 ตาม แผนการที่กำหนดไว้ชาวนครราชสีมาก็แยกย้ายระดมยื้อแย่งอาวุธจากเหล่าทหารลาว และได้โห่ร้องขึ้นทำให้กองทัพเวียงจันทน์เกิดโกลาหล ส่วนนางสาวบุญเหลือขณะนั้นอยู่ใกล้ที่พักของเพี้ยรามพิชัย เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องก็ทราบทันทีว่าแผนการดังกล่าวได้เริ่มขึ้นแล้ว นางสาวบุญเหลือจึงได้โผตัวเข้าขว้าดาบของเพี้ยรามพิชัย โดยหมายล้างชีวิตให้ได้แต่ไม่สำเร็จ เพี้ยรามพิชัยว่องไวกว่าจึงฉวยดาบคืนได้ไปเสียก่อน นางสาวบุญเหลือก็ผละตัวถอยห่างออกมาทันที และวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เพี้ยรามพิชัยวิ่งตามไป นางสาวบุญเหลือคิดขึ้นได้ว่ามีเกวียนบรรทุกดินดำจอดพัก และอยู่ไม่ไกลถ้าทำลายได้ก็จะได้ผลตามคำสั่งคุณหญิงโม จึงวิ่งตรงไปยังกองไฟคว้าได้ฟืนจากกองไฟที่มีไฟติดอยู่วิ่งตรงเข้าหากอง เกวียนบรรทุกกระสุนดินดำ เพี้ยรามพิชัยซึ่งในมือถือดาบจวนเจียนจะถึงนางสาวบุญเหลือ นางจึงตัดสินใจเอาดุ้นฟืนจุดเข้าที่ถุงดินปืนทำให้เกิดระเบิดขึ้นพร้อมกันใน ระยะเวลาอันสั้นทำให้นางสาวบุญเหลือ เพี้ยรามพิชัย และผู้อื่นๆตลอดทั้งพาหนะที่อยู่บริเวณนั้นแหลกสลายกันหมดสิ้น(ปัจจุบันเรียกระเบิดพลีชีพ) บรรดาทหารลาวเวียงจันทน์ที่ถูกฆ่าตาย ชาวเมืองต่างช่วยกันลากลงไปทิ้งหนองน้ำ บริเวณหนองน้ำแห่งนี้ จึงเรียกว่า “หนองหัวลาว” ส่วนทหารลาวที่หนีตายได้รีบนำความไปแจ้งให้เจ้าอนุวงศ์ทราบ ประกอบกับกองทัพกรุงเทพฯยกมาสนับสนุน เจ้าอนุวงศ์จึงรีบถอยทัพออกจากเมืองนครราชสีมาวีรกรรมอันห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ของคุณหญิงโม ทราบไปถึงพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาคุณหญิงโมเป็น “ท้าวสุรนารี” ส่วน นางสาวบุญเหลือได้ประกอบวีรกรรมอย่างกล้าหาญที่สุดได้สละชีพเพื่อชาติอย่าง เกียรติยิ่งที่ทุ่งสัมฤทธิ์ จึงเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การได้รับการยกย่องสรรเสริญให้เป็นวีรสตรีไทยอีก ท่านหนึ่งได้ประกอบวีรกรรมอย่างกล้าหาญที่สุดได้สละชีพเพื่อชาติอย่าง เกียรติยิ่งที่ทุ่งสัมฤทธิ์ จึงเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การได้รับการยกย่องสรรเสริญให้เป็นวีรสตรีไทยอีก ท่านหนึ่ง