ปรัชญากรีกสมัยเสื่อม
โซฟิสต์
หลักจากที่จักรพรรคดิยุสติเนียนแห่งโรมได้สั่งปิดสำนักปรัชญากรีกที่ไม่นับถือศาสนาคริสต์เมื่อ พ.ศ.1072 ทำให้สำนักปรัชญาอะคาเดมีและลีเซอุมไม่มีการพัฒนาการทางด้านแนวคิดทางปรัชญาแต่อย่างใด ลูกศิษย์ของสำนักเพียงแต่รักษาหลักปรัชญาของอาจารย์ไว้เท่านั้น
นักปรัชญาสมัยนี้มี 5 กลุ่ม และรับแนวคิกทางปรัชญามาจากแหล่งต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. สำนักเอปิคิวเรียนยอมรับทฤษฎีอะตอมหรือปรมณูของเดมอคริตุส
2. สำนักสโตอิกยอมรับทฤษฎีไฟของเฮราคริตุส
3. นักวิมตินิยมได้รับอิทธิพลจากญาณวิทยาของพลาโต้
4. นักสังคหนิยมผสมผสานปรัชญาหลายสำนัก
5. สำนักพลาโต้ใหม่ยอมรับปรัชญาของพลาโต้
เอปิคิวรุส
เอปิคิวรุส เป็นผู้ก่อตั้งสำนักเอปิคิวเรียน ท่านเกิดที่เกาะซามอส ศึกษาปรัชญาของเดมอคริตุสจากครูชื่อนอซิฟาเนส ท่านศึกษาปรัชญาในหลายสำนัก เอปิคิวรุสได้เปิดสอนปรัชญาที่กรุงเอเธนส์โดยใช้สวนของท่านเป็นสถานศึกษา เน้นการสอนศิษย์ให้ท่องจำหลักปรัชญาสำคัญๆ
ศิษย์ของเอปิคิวรุสผู้มีชื่อเสียงโด่งดังคือกวีชาวโรมันชื่อลูเครติอุส เขาได้เขียนอธิบายหลักปรัชญาของเอปิคิวรุสไว้ในกวีนิพนธ์เรื่อง ว่าด้วยธรรมชาติของสรรพสิ่ง
ญาณวิทยา เดมอคริตุสเป็นนักเหตุผลนิยม เพราะเห็นว่าความรู้แท้เกิดจากการใช้เหตุผล ไม่ใช่ประสาทสัมผัส แต่เอปิคิวรุส ก็เป็นนักประสบการณ์นิยม เพราะเสนอทัศนะว่าความรู้แท้เกิดจากสัญชานหรือประสาทสัมผัส
อภิปรัชญา เอปิคิวรุสเป็นนักวัตถุนิยม เพราะเขายอมรับแนวความคิดของเดมอคริตุสที่ว่า สรรพสิ่งเกิดจาการรวมตัวของปรมณู แม้วิญญาณก็เกิดจากปรมณู เมื่อมนุษย์ถึงแก่ความตาย วิญญาณก็ดับสลาย มนุษย์ตายแล้วสูญ ปรัชญาของเอปิคิวรุสเป็นอุจเฉททิฐิ
จริยศาตร์ เอปิคิวรุสมีทัศนะคล้ายกับของโวฟิสต์ที่ว่าไม่มีความดีสากลและความชั่วสากล คุณธรรมไม่ใช่ความดีในตัวเองความแตกต่างของทัศนะทั้งสองอยู่ตรงที่ว่า ขณะที่โซฟิสต์เห็นว่าความมีประโยชน์เป็นเกณฑ์ตัดสินความดี แต่เอปิคิวรุสเห็นว่าความสุขหรือความสำราญเป็นเกณฑ์ตัดสินความดี นั่นคือการกระทำที่นำความสุขมาให้เป็นความดี ส่วนการกระทำที่นำความทุกข์มาให้เป็นความชั่ว
สำนักสโตอิก
เซโนแห่งคิติอุมเป็นนักปรัชญาผู้ก่อตั้งสำนักสโตอิก เซโนได้ศึกษาปรัชญาของเฮราคลีตุสอย่างจริงจัง หลังจากศึกษาปรัชญาอยู่หลายปี เซโนได้ตั้งสำนักปรัชญาของตนขึ้น โดยใช้บริเวณระเบียงของซุ้มประตูเมืองเป็นที่สอนปรัชญา คำว่า “สโตอา” ในภาษากรีกแปลว่า “ประตูเมือง” เหตุนั้นสำนักนี้จึงมีชื่อว่า “สโตอิก” แปลว่าสำนักประตูเมือง ศิษย์ของเซโนมาจากทุกชั้นวรรณะ มีทั้งคนจนและคนมั่งมี เซโนไม่นิยมรับเด็กหนุ่มเป็นศิษย์ เพราะถือว่าคนมีอายุและวุฒิภาวะเหมาะสมเท่านั้นจะสามารถเรียนรู้ปรัชญา
เซโนถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ.379 ภายหลังมรณกรรมของเซโนสำนักสโตอิกยังคงรุ่งเรืองต่อมาอีกหลายศตวรรษ พัฒนาการของสำนักนี้แบ่งออกเป็น 3 ยุค ดังนี้
1. สำนักสโตอิกเก่า มีนักปรัชญาสำคัญคือ เซโนแห่งคิติอุม เคลอันรีส และครีซิปปุส
2. สำนักสโตอิกกลาง มีนักปรัชญาสำคัญคือ ปาเนติอุสและโปเซอีโดนีอุส
3. สำนักาสโตอิกใหม่ มีนักปรัชญาสัญคือ อันเนอุส เซเนคา เอปิคเตตุสและจักรพรรดิมาร์คุส เอาเรลีอุส
ปรัชญาสำนักสโตอิก
ปรัชญาสำนักสโตอิกแบ่งเป็น 3 สาขา คือตรรกศาสตร์ อภิปรัชญา และจริยศาสตร์ พวกสโตอิกถือว่าเป้าหมายของปรัชญาอยู่ที่การแสวงหารากฐานให้กับจริยศาสตร์
ตรรกศาสตร์
สโตอิกเหมือนกับตรรกศาสตร์ของอาริสโตเติล ต่างกันคือประเด็นว่า ประโยคเท่านั้นที่เราบอกว่าจริงหรือเท็จ ประโยคจึงเป็นพื้นฐานของเหตุผล หาใช่คำ ดังที่อาริสโตเติลเสนอ คำเป็นเพียงองค์ประกอบของประโยค ตัดสินความสมเหตุสมผลกันที่ประโยคต่างหาก ทัศนะนี้ทำให้ครีซิปบุสได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบตรรกศาสตร์แห่งประโยค ซึ่งต่อมากลายมาเป็นตรรกศาสตร์สัญลักษณ์
เรื่องทฤษฎีความรู้ที่พวกสโตอิกจัดเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตรรกศาสตร์ ประเด็นที่เกี่ยวกับทฤษฎีความรู้ บ่อเกิกดของความรู้และเกณฑ์ตัดสินความจริง เสนอมติว่า สัญชานเป็นบ่อเกิดของความรู้
สโตอิกปฏิเสธทฤษฎีมโนคติหรือแบบของพลาโต้และอริสโตเติล เขาเห็นว่าไม่มีสิ่งสากลอยู่ในโลกแห่งมโนคติ ทั้งไม่มีสิ่งสากลแทรกสถิตอยู่ภายในสิ่งเฉพาะ สิ่งเฉพาะเท่านั้นที่มีอยู่จริง สิ่งสากลไม่มีจริง
ปรัชญาของสโตอิกเป็นประสบการณ์นิยม ประสบการณ์นิยมถือว่าความรู้ทุกอย่างมาจากสัญชาน
สโตอิกให้ความสนใจศึกษษเรื่องเกณฑ์ตัดสินความจริง มีทัศนะว่า ประสาทสัมผัสหรือสัญชานเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับตัดสินความจริง สโตอิกเพิ่มเติมว่า สัญชานใดจะให้ความรู้แท้จริงหรือไม่ นั่นขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ส่า สัญชานนั้นสามารถทำให้จิตมีการปลงใจได้หรือไม การปลงใจก็คืออาการที่จิตยอมรับ ภาพที่เห็นหรือเสียงที่ได้ยิน
อภิปรัชญา
สโตอิกยอมรับทัศนะเรื่องไฟเป็นปฐมธาตุของดลกจากเฮราคลีตุส นำมาผสมผสานกับแนวคิดเรื่องกัตตุภาวะและกัมมภาวะของอาริสโตเติล
สโตอิกมีทัศนะว่าจักรวาลเกิดมาจากหลักการเบื้องต้น 2 ประการ คือกัตตุภาวะที่เป็นฝ่ายเคลื่อนไหวกระทำการและก่อสร้างสรรพสิ่ง และกัมมภาวะที่เป็นฝ่ายถูกเคลื่อนที่ ถูกกระทำและถูกก่อสร้าง กัตตุภาวะหมายถึงพระเจ้าและกัมมภาวะหมายถึงสสาร พระเจ้าและสสารเป็นสิ่งเดียวกัน สโตอิกถือว่าไฟเป็นสิ่งแรกสุดของจักรวาล สรรพสิ่งออกมาจากไฟและกลับไปสู่ไฟ พระเจ้าคือไฟ สสารก็คือไฟ ไฟที่ละเอียดประณีตจัดเป็นพระเจ้า ส่วนไฟที่หยาบจัดเป็นสสาร
วิญญาณมนุษย์เกิดจากไฟคือพระเจ้า วิญญาณมนุษย์มาจากพระเจ้าไม่ได้หมายถึงวิญญาณทุกดวงแต่หมายถึงวิญญาณของมนุษย์คนแรกเท่านั้นที่มาจากพระเจ้า วิญญาณของคนที่ตายทุกคนจะรออยู่จนถึงวันที่ไฟไหม้โลกแล้วจึงกลับไปสู่พระเจ้า
จริยศาสตร์
พัฒนามาจากแนวคิดทางอภิปรัชญา 2 ประการ คือ 1. จักรวาลถูกปกครองด้วยกฎเหตุผลที่ตายตัว และ 2. ธรรมชาติอันเป็นแก่นแท้ของมนุษย์ คืการคิดอย่างมีเหตุผลที่ตระหนักรู้กฏธรรมชาติและพร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎเหล่านั้น วิธีดำเนินชีวิตที่ดีในทัศนะของพวกสโตอิกก็คือ “มีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ” หมายความว่า มนุษย์ควรย่อมรับและปฏิบัติตามกฎเหตุผลในธรรมชาติโดยไม่ฝ่าฝืนหรือหลีกเลี่ยงแต่ประการใด
วิมตินิยมและสังคหนิยม
สิ่งที่ชาวโรมันคือผสมผสานปรัชญากรีกเด่นๆ เข้าด้วยกั