การ ”ปฏิวัติ” การส่งออกก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานในสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ตลาดงาน และความมั่นคงด้านพลังงานภายในประเทศ ซึ่งในปีต่อๆ ไป ผลกระทบดังกล่าวจะแผ่ขยายออกไปนอกสหรัฐฯ และตอบสนองต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯ
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีการถกเถียงกันถึงความเสี่ยงและโอกาสของการส่งออกก๊าซในรูปของก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Natural Gas - LNG) ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อราคาภายในประเทศบ้าง แต่การปฏิวัติดังกล่าว อาจกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่นอย่างมหาศาล เนื่องจากก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ ปัจจุบันมีราคาประมาณ 3-4 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ 1,000 ลูกบาศก์ฟุต ซึ่งถูกกว่าในยุโรป 3 เท่า หลายประเทศในยุโรปจึงยินดีที่จะนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานของสหรัฐฯ เพราะมีราคาถูกกว่าที่พวกเขาต้องซื้ออยู่ในปัจจุบัน
การที่สหรัฐฯ ส่งออกก๊าซ LNG จะสร้างความได้เปรียบด้านภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มเติม กล่าวคือ หากสหรัฐฯ สามารถขายก๊าซธรรมชาติเป็นจำนวนมากในตลาดโลกได้ ก็จะช่วยลดอิทธิพลทางการเมืองของรัสเซียที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเครื่องมือทางการทูตต่อบางประเทศในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ด้วยวิธีจัดส่งก๊าซปริมาณมหาศาลเข้าสู่ตลาดพลังงานโลก นอกจากนี้สองประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ โปแลนด์และยูเครน เนื่องจากโปแลนด์ต้องจ่ายค่าก๊าซธรรมชาติให้รัสเซียในราคาที่สูงที่สุดในยุโรป จึงพยายามหาทางลดปริมาณนำเข้า เพิ่มปริมาณการผลิตในประเทศและลดปริมาณการใช้ รวมทั้งหาแหล่งพลังงานที่หลากหลายมากขึ้น และยูเครนก็เป็นตลาดนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียขนาดใหญ่อันดับ 2 ของยุโรป รองจากเยอรมนี ดังนั้น โปแลนด์ ยูเครน และอีกหลายประเทศในภูมิภาคยุโรปจึงหวังพึ่งการส่งออกก๊าซ LNG จากสหรัฐฯ เพื่อยุติการผูกขาดและการทูตเชิงพลังงานของรัสเซีย เพราะฉะนั้น สหรัฐฯ ควรจะเริ่มส่งออกก๊าซธรรมชาติและสร้างสถานีรับก๊าซ LNG ปลายทางให้มากขึ้น
การส่งออกก๊าซ LNG จากสหรัฐฯ ไปยุโรปอาจสร้างชัยชนะ 3 ประการ (triple win situation) ให้แก่สหรัฐฯ ดังนี้ ประการแรก สหรัฐฯ สามารถสร้างงานในภาคธุรกิจพลังงานได้ ประการที่ 2 คู่ค้าของสหรัฐฯ ในยุโรปสามารถลดค่าใช้จ่ายจนในที่สุดก็จะยกระดับการแข่งขันและเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานได้ ซึ่งจะช่วยสร้างผลประโยชน์ประการสุดท้ายให้แก่สหรัฐฯ ในด้านเศรษฐกิจ กล่าวคือ หากสหรัฐฯ สามารถช่วยยุโรปซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ ให้สามารถฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจได้และผลักดันความเป็นหุ้นส่วนยูโร -แอตแลนติก (Euro-Atlantic Partnership) มากขึ้น ก็จะมีผลดีโดยตรงต่อเศรษฐกิจภายในประเทศและตลาดงานของสหรัฐฯ ต่อไป