เท่าที่เล่าต่อๆ กันมาว่า ในยุคหิน ช

เท่าที่เล่าต่อๆ กันมาว่า ในยุคหิน ช่วง3,000 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวสวิสที่อาศัยอยู่ตามทะเลสาบเป็นผู้ริเริ่มนำเมล็ดข้าวสาลีมาบดโดยใช้ครกที่ทำจากหินหยาบๆ ตำ นำไปผสมน้ำ แล้วนำไปเทลงบนหินร้อนๆเพื่อให้สุก ผลที่ได้คือขนมปังที่ขึ้นฟูโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนอีกทางหนึ่งกล่าว่าพวกทาสในสมัยอียีปต์โบราณ ได้ทิ้งก้อนแป้งที่ผสมไว้แล้วลงไปในแป้งที่ผสมเสร็จใหม่ๆ ผลที่ได้คือแป้งที่เบา ฟู และรสอร่อย มีหลักฐานเช่น จิตกรรมฝาผนังในสุสานหลายๆแห่งมีภาพวาดรูปคนถือขนมปังบูชาเทพพระเจ้า นอกจากนั้นยังมีการค้นพบหินโม่แป้งและเตาอบขนมปังซึ่งทำจากดินที่เป็นทรงกรวย สันนิษฐานว่าเป็นต้นแบบของเตา “ ทันดูร ”

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เท่าที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่าในยุคหินช่วง 3000 ปีก่อนคริสตกาล ตำนำไปผสมน้ำแล้วนำไปเทลงบนหินร้อนๆเพื่อให้สุกผลที่ได้คือแป้งที่เบาฟูและรสอร่อยมีหลักฐานเช่นสันนิษฐานว่าเป็นต้นแบบของเตา "ทันดูร"

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เท่าที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่าในยุคหิน ช่วง3ปี 000 ก่อนคริสตกาลชาวสวิสที่อาศัยอยู่ตามทะเลสาบเป็นผู้ริเริ่มนำเมล็ดข้าวสาลีมาบดโดยใช้ครกที่ทำจากหินหยาบ ๆ นำไปผสมน้ำตำแล้วนำไปเทลงบนหินร้อนๆเพื่อให้สุกผลที่ได้คือขนมปังที่ขึ้นฟูโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนอีกทางหนึ่งกล่าว่าพวกทาสในสมัยอียีปต์โบราณได้ทิ้งก้อนแป้งที่ผสมไว้แล้วลงไปในแป้งที่ผสมเสร็จใหม่ ๆ ผลที่ได้คือแป้งที่เบาฟูและรสอร่อยมีหลักฐานเช่น นอกจากนั้นยังมีการค้นพบหินโม่แป้งและเตาอบขนมปังซึ่งทำจากดินที่เป็นทรงกรวยสันนิษฐานว่าเป็นต้นแบบของเตา "ทันดูร"

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เท่าที่เล่าต่อๆกันมาว่าในยุคหินช่วง 3000 ปีก่อนคริสตกาลชาวสวิสที่อาศัยอยู่ตามทะเลสาบเป็นผู้ริเริ่ตำนำไปผสมน้ำแล้วนำไปเทลงบนหินร้อนๆเพื่อให้สุก ผลที่ได้คือขนมปังที่ขึ้นฟูโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนอีกทางหนึ่งกล่าว่าพวกทาสในสมัยอียีปต์โได้ทิ้งก้อนแป้งที่ผสมไว้แล้วลงไปในแป้งที่ผผลที่ได้คือแป้งที่เบาฟูและรสอร่อยมีหลักฐานเช่นนอกจากนั้นยังมีการค้นพบหินโม่แป้งและเตาอบขสันนิษฐานว่าเป็นต้นแบบของเตา"ทันดูร"