The removal of the muscle from the

The removal of the muscle from the carcass during the pre-rigor phase allows the muscle to contract more than muscles that are conventionally chilled while attached to the skeleton, and the degree of contraction in which a muscle enters a state of rigor is highly variable among
different muscles of a carcass (Locker, 1960). Such contraction can arise from either a rigor contraction of muscle fibers entering rigor above the optimum temperature of 10–18 °C or from cold contracture occurring below this temperature (Hildrum, Nilsen, & Wahlgren, 2002).

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

การกำจัดของกล้ามเนื้อจากซากระหว่างขั้นตอนความรุนแรงก่อนช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวมากกว่ากล้ามเนื้อที่ตามอัตภาพแช่เย็นในขณะที่แนบกับโครงกระดูก และระดับของการหดตัวที่กล้ามเนื้อเข้าสู่สถานะของความรุนแรงเป็นตัวแปรสูงในหมู่กล้ามเนื้อต่าง ๆ ของซาก (ล็อคเกอร์ 1960) หดตัวดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ จากทั้งหดความรุนแรงของเส้นใยกล้ามเนื้อเข้าสู่ความรุนแรงเหนือ 10 – 18 ° C อุณหภูมิที่เหมาะสม หรือ จากนมเย็นที่เกิดขึ้นต่ำกว่าอุณหภูมินี้ (Hildrum, Nilsen, & Wahlgren, 2002)

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การกำจัดของกล้ามเนื้อจากซากในช่วงก่อนความรุนแรงจะช่วยให้กล้ามเนื้อจะหดตัวมากกว่ากล้ามเนื้อที่มีอัตภาพแช่เย็นในขณะที่ติดอยู่กับโครงกระดูกและระดับของการหดตัวในการที่กล้ามเนื้อเข้าสู่สภาวะของความรุนแรงที่เป็นตัวแปรอย่างสูงในหมู่
กล้ามเนื้อแตกต่างกันของซาก (Locker, 1960) การหดตัวดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากการหดตัวรุนแรงของเส้นใยกล้ามเนื้อเข้าสู่ความรุนแรงดังกล่าวข้างต้นอุณหภูมิที่เหมาะสมของ 10-18 ° C หรือจาก contracture เย็นที่เกิดขึ้นดังต่ออุณหภูมินี้ (Hildrum, Nilsen & Wahlgren, 2002)

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การกำจัดของกล้ามเนื้อจากซากในช่วงก่อน 14 เฟส ช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวมากกว่ากล้ามเนื้อที่โดยทั่วไปเย็นในขณะที่เชื่อมต่อกับโครงกระดูกและระดับของการหดตัวที่กล้ามเนื้อเข้าสู่สภาวะของการเป็นตัวแปรอย่างมากในหมู่กล้ามเนื้อที่แตกต่างกันของซาก ( ล็อกเกอร์ , 1960 ) การหดตัวดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นจากการหดตัวของเส้นใยกล้ามเนื้อทั้งการเข้าตรวจสอบข้างต้น อุณหภูมิที่เหมาะสมของ 10 – 18 ° C หรือจากการหดตัวของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นด้านล่างอุณหภูมิเย็นนี้ ( hildrum นิลเซิ่น , , และ วา ลเกรน , 2002 )