การท่องเที่ยวของไทย ก่อนการพัฒนาทางบกในปลายคริสต์ศตวรรษที่19 เป็นก่องเที่ยวหือการเดินทางของขุนนางและพ่อค้ามากกว่าสามัญชน ทั้งนี้เพราะการเดินทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก ขาดระบบการคมนาคมที่ การคมนาคมทางบกใช้เกียง ช้าง ม้า และวัว เป็นพาหนะในการการขนส่ง สำหรับทางน้ำใช้เรือติดต่อระหว่างแม่น้ำลำคลองต่างๆภายในประเทศ สำหรับการติดต่อกับประเทศ ก็ใช้เรือใบเรือสำเภาเป็นพาหนะที่สำคัญในการเดินทาง
หลังจากที่ประเทศไทย ได้เปิดการค้าขายกับต่างประเทศอย่างเสรี ในปี ค.ศ.1855 ได้มีการปรับปรุงการค้าขายกับต่างประเทศให้ทันสมัย และอำนวยความสะดวกให้แก่พ่อค้าต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง และมีการก่อสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพ เชื่อมติดต่อกับภูมิภาคต่างๆและก่อสร้างทางเกวียนเชื่อมระหว่าง เมืองและสถานีรถไฟ ทางเกวียนดังกล่าวแล้วได้ ขยายเป็นถนนรถยนต์ในช่วงเวลาต่อมา
หลังจากสร้างทางรถไฟ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ผู้บัญชาการไฟในขณะนั้น ได้จัดตั้งแผนกโฆษณาของการรถไฟขึ้น ในปี ค.ศ.1924 เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมทางด้านการท่องเที่ยว และอำนวยความสะดวกแก่ชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในไทย
ในปี ค.ศ.1936 คณะรัฐมนตรี กระทรวงเศรษฐการเสนอโครงการบำรุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยมีแผนงาน3ประการ
1. แผนงานโฆษณาชักชวนนักท่องเที่ยว
2. แผนงานรับรองนักท่องเที่ยว
3. แผนงานบำรุงสถานที่ท่องเที่ยวและที่พัก
งานดังที่กล่าวดำเนินติดต่อเรื่อยมา จนกระทั่งหยุดชะงักระยะหนึ่ง ในสงครามโลกครั้งที่2
การเดินทาง สามารถแบ่งออกได้3สมัยคือ การเดินทางในสมัยโบราน การเดินทางในสมัยกลาง และการเดินในสมัยใหม่ และปัจจุบัน การเดินทางในแต่ละสมัย มีวัตถุประสงค์หลักแตกต่างกันออกไปดังนี้
การเดินทางสมัยโบราณ มุ่งเน้นการเดินทางเพื่อ การเมือง การทหาร เช่น การทำสงคราม การทูตเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี วัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่ง คือการเดินทางเพื่อการค้าขาย ทั้งทางบกและทางเรือ สำหรับการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจก็มีอยู่เฉพาะขุนนาง ชนชั้นสูง อย่างไรก็ตาม การเดินทางเพื่อธุรกิจ การเมืองและการท่องเที่ยวก็ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ ในสมัยโบราณ แต่วัตถุประสงค์หลักของการเดินทาง เพื่อต่อต่อธุรกิจ การเมืองมากกว่าท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ
การเดินทางในสมัยกลาง ในตอนต้นสมัยกลาง การเดิมมีน้อย และค่อยๆเพิ่มขึ้นในสมัยกลาง นอกจากนี้ก็ยังมีการเดนทางเพื่อนค้าขาย และการติดต่อด้านการค้าการเมืองการเดินทางในสมัยกลางมีน้อยกว่าสมัยโบราณ การเดินทางเพื่อศาสนา เป็นการเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวในความหมายของปัจจุบันก็ได้เกิดขึ้นในสมัยกลาง
การเดินทางในสมัยใหม่และสมัยปัจจุบัน นับเป็นการเดินทางเพื่อการเกิดการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการเดินทางเพื่อธุรกิจ การเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว เริ่มเกิดขึ้นเมื่อชนชั้นสูงของอังกฤษ มีแนวความคิดว่า นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ต้องเดินทางไปศึกษาอารยะธรรมฝรั่งเศส อิตาลี และประเทศอื่นๆของยุโรป จึงสำเร็จหลักสูตรการศึกษาและความคิดนี้ก็ได้ปฏิบัติต่อกันมาจนกระทั่งปลายคริสต์ศตวรรษที่18
การท่องเที่ยวได้แพร่หลายสู่มวนชนมากยิ่งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่17 นักท่องนิยมไปอาบน้ำแร่ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่18 ก็นิยมไปเที่ยวชายทะเล เมื่อมีการพัฒนาการคมนาคมดีขึ้น ทั้งทางบกทางน้ำ และธุรกิจอื่นๆบุคคลในธุรกิจดังกล่าวมีรายได้และวันหยุดที่แน่นอน ความเบื่อหน่าย จำเจกับงานในโรงงาน จึงทำให้บุคคลดังกล่าวแล้วทางเดินทางเพื่อการท่องเที่ยวมากขึ้น
ในประเทศไทย การเดินทางส่วนมาก เกิดขึ้นกับชนชั้นสูง และพ่อค้า หลังจากได้มีการพัฒนาการคมนาคมทางบก โดยการสร้างทางรถไฟ และถนนเชื่อมระหว่างเมืองต่างๆแล้วการเดินทางก็สะดวก และแพร่หลายไปสู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น ต่อมาได้มีการจัดตั้ง อ.ส.ท. และเปลี่ยนเป็นททท. ประกอบกับรัฐบาล ได้มีการพัฒนาการคมนาคม ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ และทางอากาศ การเดินทางก็สะดวกรวดเร็วกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนาธรรมในสังคมไทย ทำให้มาตรฐานการดำเนินชีวิตของคนไทยคล้ายสากล ความต้องการท่องเที่ยวของคนไทยจึงเกิดขึ้น และแพร่หลายออกไปสู่ประชาชนทุกระดับ ในปัจจุบัน การท่องเที่ยวจึงเป็นการท่องเที่ยวของมวลชนอย่างแท้จริง