จากที่เห็นว่าคุณเจ๊อยู่เกาหลีมานานหลายปี รวมๆแล้วก็สองปีกว่าๆ แต่ประสบการณ์ในการคบหากับหนุ่มเกาหลีแบบจริงๆจังๆนี่น้อยมาก มีแต่กิ๊กกั๊กไปเรื่อยๆ ไม่ได้จริงจังอะไร แต่ตอนนี้ได้เข้ามาคลุกคลีวงในแล้วพบว่าความแตกต่างมันมีมากจริงๆ แต่โดยรวมแล้วไม่ถึงกับทำให้เข้ากันไม่ได้
1. ผู้ชายเกาหลีค่อนข้างเซ้นซิทีฟ แล้วก็โรแมนติกนะคะ
ดูจากละครแล้วอาจจะงง เพราะในละครผู้ชายเกาหลีค่อนข้างเถือนใช่ไหมคะ เจ้าน้ำตาด้วย แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เจ้าน้ำตาอะไรนะ หนุ่มเกาหลีก็ไม่ร้องให้พร่ำเพรื่อแบบในละคร และค่อนข้างเซ้นซิทีฟ อย่างเช่น ถ้าคุณทาครีมให้เขาอยู่ทุกวันแล้ววันหนึ่งคุณไม่ทาให้ เขาจะน้อยใจมาก อะไรที่คุณเคยทำแล้วจู่ๆวันนึงลืมไปหรือไม่ทำให้ เขาก็จะโกรธประมาณเนี้ย หรืออย่างในกรณีที่เขาไปส่งคุณถึงที่หน้าบ้าน แต่คุณกลับไม่ส่งเมสเซจถามเขาว่า"เขาถึงบ้านหรือยัง" เขาก็จะงอนมากกกกกก~~~~~~
โดยส่วนตัวไม่ใช่สาวโรแมนติกอะไรนะคะ แต่ก็ไม่ถึงกับถึกอะไร เคยมีประสบการณ์คบกับหนุ่มไทยมานาน เหตูการณ์แบบนี้ทำให้อึ้งไปเหมือนกันค่ะ ไม่คิดว่าตัวเองจะไม่ละเอียดอ่อนขนาดนี้ หนุ่มไทยไม่เห็นค่อยเป็นแบบนี้เลย หนุ่มเกาหลีใจน้อยง่ายมาก แต่ไม่ร้องไห้แบบในละครนะ
อย่างในละครจะเห็นว่าหนุ่มเกาหลีเถื่อน ตบตีอะไรประมาณนี้ แต่ของจริงนี่ไม่เลยนะ ออกจะอยู่ในโอวาท แล้วก็เทคแคร์ดีมาก กระเป๋านี่ก็ถือให้ตลอด อย่างไปซูเปอร์มาเก็ตเนี่ย ตระกร้าหรือรถเข็นจะเห็นได้ว่าผู้ชายเข็นตลอด หนุ่มเกาหลีที่ปล่อยให้ผู้หญิงเข็นรถเข็นนี่ถือว่า เจี้ยมากค่ะ แล้วเอาเข้าจริงๆหนุ่มเกาหลีค่อนข้างเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนค่ะ นี่เห็นมาจริงๆไม่ใช่แค่แฟนเจ๊นะคะ แต่เห็นคนรอบข้างด้วย หนุ่มเกาหลีค่อนข้างกลัวเมียทีเดียว เพราะสาวเกาหลีมันน่ากลัวค่ะ~~~~ฮ่าๆ
2. เทศกาลวาเลนไทน์ ไวท์เดย์ และแบล๊กเดย์
เมืองไทยมีแค่วาเลนไทน์ใช่ไหมค่ะ คือ14 กุมภาพันธ์ แต่เกาหลีมีวาเลนไทน์ ไวท์เดย์ (14มีนาคม) และแบล๊กเดย์ ที่เมืองไทยวันวาเลนไทน์คือผู้ชายจะให้ดอกไม้กับแฟนใช่ไหมคะ แต่เกาหลีเนี่ย ผู้หญิงจะให้ดอกไม้หรือช๊อกโกแลตกับคนที่ชอบหรือแฟน เพราะถือเป็นวันสารภาพรักค่ะ ส่วนหนุ่มเกาหลีจะให้ของขวัญตอบแทนความรู้สึกในวันไวท์เดย์ ส่วนหนุ่มสาวที่ไม่ได้ของขวัญในวันวาเลนไทน์และไวท์เดย์ก็จะพากันไปกินจาจังมยอนค่ะ (บะหมี่ซอสดำ) ถือเป็นการแก้เคล็ดอะจ้ะ
ถึงคุณเจ๊จะอยู่มานานแต่เพิ่งรู้ว่ามันเป็นแบบนี้เอาปีนี้เองจ้ะ เพราะทำพลาด เมื่อต้นปีจริงๆแล้วคบกับแฟนเก่าอยู่ แต่ตอนวาเลนไทน์เจ๊ไม่ได้ให้อะไรเขาอะ เพราะนอนรอโทรศัพท์อยู่ว่าทำไมมันไม่โทรมา แอบนั่งโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียวว่ามันคงไปเดทกับสาวอื่น ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นแฟนก็โทรมาแล้วถามว่าทำไมไม่โทรหาเขาเมื่อวาน เราก็โมโห เลยทะเลาะกัน เลิกกันไปค่ะ ตลกมาก มารู้ทีหลังจากเพื่อนว่าเขาเป็นกันแบบนี้นะ ก็เลยถึงบางอ้อ..แต่จะให้ไปง้อก็อีโก้มันค้ำคออะค่ะ ปีที่ผ่านมาเจ๊เลยต้องไปกินจาจังมยอน ฮิๆ
3. คำพูดบางประโยคที่พูดเหมือนกัน แต่ความหมายต่างกันเหลือเกิน
เช่น เวลาอยูด้วยกันกับแฟน เขาจะชอบถามว่า "한말 있어?" แปลได้ว่า มีไรจะบอก/พูดไหม? ประสาเราคนไทย ก็นึกว่ามันชวนทะเลาะค่ะ ถามแบบนี้เหมือนชวนทะเลาะไหมละคะ มีไรจะพูดไหม เหมือนเราทำผิดแล้วมีไรจะสารภาพหรือเปล่า หรือว่าเธอปกปิดไรชั้นหรือเปล่า ประมาณนี้เลยค่ะ
เจ๊ละเคื้องเคืองตอนแรก ก็ได้แต่ตอบไปว่า"ไม่มีอะไรจะพูด" มันก็เงียบๆไปละ อารมณ์งอน มารู้เอาทีหลังตอนที่แฟนทนไม่ได้แล้ว เขาเลยบอกว่ารู้เปล่าว่าคนเกาหลีเวลาถามแบบนี้คือ เขาจะให้เราตอบว่า "사랑해~~" หรือ "ฉันรักเธอ" อย่างน้ำเน่าเลยค่ะ แฟนบอกว่าหนุ่มเกาหลีชอบถามแบบนี้มากๆ มีใครเคยโดนถามแบบนี้บ้างเป่า ฮ่าๆ
4. หนุ่มเกาหลีพูดคำว่ารักฟุ่มเฟือย
พูดคำว่า "사랑해" บ่อยมากกกกกๆๆๆๆๆ เป็นคำที่ต้องได้ยินทุกวัน สามเวลาหลังอาหาร ถ้าวันไหนคุณไม่ได้ยินละก็เตรียมใจไว้ได้เลยว่าเขาเปี้ยนไป๊
ตอนแรกก็ไม่ชินค่ะ เลยต้องปรัปตัวให้พูดเลี่ยนๆทุกวันไปด้วยค่ะ เพราะถ้าไม่ทำเจองอนแน่ๆค่ะ อย่างคนไทยนี่การพูดคำว่ารักทุกวันมันเลี่ยนใช่ไหมคะ ถ้ามีหนุ่มคนไหนพูดคำนี้ง่ายๆก็จะโดนมองว่าเจ้าชู้แน่นอน อย่างตอนคบกับแฟนเก่าที่เป็นคนไทย คบกันสี่ปีเคยได้ยินคำนี้แค่ครั้งเดียวในโอกาศพิเศษเท่านั้นเอง
ตอนแรกเนี่ยทะเลาะกับแฟนเลยค่ะ เพราะเขาก็งงว่าทำไมเราไม่พูดคำว่ารักตอบ หรือว่าเราไม่รักเขาประมาณเนี้ย เลยต้องนั่งอธิบายความแตกต่างของวัฒนธรรมไทยกับเกาหลีให้เขาฟัง เขาก็บ่นๆว่าวัฒนธรรมเราแปลกจัง ก็อยากให้เราเปลี่ยนมาเป็นแบบเขาประมาณเนี้ย หลังจากทำไปทุกวันตอนนี้ชินแล้วเลยเริ่มพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ