One issue is infrequent large order

One issue is infrequent large orders vs. frequent small orders. Large orders will increase the amount of inventory on hand, which is costly, but may benefit from volume discounts. Frequent orders are costly to process, and the resulting small inventory levels may increase the probability of stock-outs, leading to loss of customers. In principle all these factors can be calculated mathematically and the optimum found.

A second issue is related to changes in demand (predictable or random) for the product. For example having the needed merchandise on hand in order to make sales during the appropriate buying season(s). A classic example is a toy store pre-Christmas. If one does not have the items on the shelves, one will not make the sales. And the wholesale market is not perfect. There can be considerable delays, particularly with the most popular toys. So, the entrepreneur or business manager will buy on spec. Another example is a furniture store. If there is a six week, or more, delay for customers to get merchandise, some sales will be lost. And yet another example is a restaurant, where a considerable percentage of the sales are the value-added aspects of food preparation and presentation, and so it is rational to buy and store somewhat more to reduce the chances of running out of key ingredients. With all these examples, the situation often comes down to these two key questions: How confident are you that the merchandise will sell, and how much upside is there if it does?

And a third issue comes from the view that inventory also serves the function of decoupling two separate operations. For example work in process inventory often accumulates between two departments because the consuming and the producing department do not coordinate their work. With improved coordination this buffer inventory could be eliminated. This leads to the whole philosophy of Just In Time, which argues that the costs of carrying inventory have typically been underestimated, both the direct, obvious costs of storage space and insurance, but also the harder-to-measure costs of increased variables and complexity, and thus decreased flexibility, for the business enterprise.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ปัญหาหนึ่งคือ สั่งไม่มากเทียบกับใบสั่งขนาดเล็กบ่อย ใบสั่งขนาดใหญ่จะเพิ่มจำนวนสินค้าคงคลังคง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสูง แต่อาจได้รับประโยชน์จากส่วนลดตามปริมาณ สั่งประจำเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการ และระดับสินค้าคงคลังเล็กผลอาจเพิ่มความน่าเป็นของหุ้นลึกหนาบาง นำไปสู่การสูญเสียลูกค้า ในหลักปัจจัยเหล่านี้สามารถคำนวณ mathematically และเหมาะสมที่พบเรื่องสองเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในความต้องการ (ได้ หรือสุ่ม) สำหรับผลิตภัณฑ์ เช่น มีสินค้าจำเป็นในการทำขายระหว่าง season(s) ซื้อที่เหมาะสม ตัวอย่างที่คลาสสิกคือ คริสต์มาสก่อนเก็บของเล่น ถ้าไม่มีสินค้าบนชั้นวาง หนึ่งจะไม่ให้ขาย และตลาดค้าส่งไม่สมบูรณ์ อาจมีความล่าช้ามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับของเล่นนิยมมากที่สุด ดังนั้น ผู้ประกอบการจะซื้อใน spec อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ร้านค้าเฟอร์นิเจอร์ ถ้ามีหกสัปดาห์ อย่างน้อย ความล่าช้าสำหรับลูกค้าจะได้รับสินค้า การขายบางจะหายไป และยัง อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ร้านอาหาร ที่เปอร์เซ็นต์ของยอดขายมากเป็นลักษณะของการเตรียมอาหารและการนำเสนอมูลค่าเพิ่ม และดังนั้น จึงเป็นเหตุผลในการซื้อ และการจัดเก็บค่อนข้างมากเพื่อลดโอกาสของการใช้ออกจากส่วนผสมหลัก ตัวอย่างเหล่านี้ทั้งหมด สถานการณ์มักจะลงมาถามคีย์เหล่านี้สอง: วิธีมั่นใจที่จะขายสินค้า และจำนวนคว่ำมี ว่า ใช้หรือไม่และประเด็นสามมาจากมุมมองที่สินค้าคงคลังยังทำหน้าที่การทำงานของ decoupling การดำเนินงานที่แยกต่างหากสอง ตัวอย่าง งานในกระบวนการสินค้าคงคลังมักจะสะสมระหว่างสองแผนกเนื่องจากการบริโภคและแผนก producing ไม่ประสานงานกัน พร้อมประสานงานปรับปรุง สินค้าคงคลังนี้บัฟเฟอร์สามารถตัดออกไป นี้นำไปสู่ปรัชญาทั้งหมดเพียงในเวลา ซึ่งจนที่ ต้นทุนของการถือครองสินค้าคงคลังอยู่ได้โดยปกติแล้ว underestimated ทั้งต้นทุนโดยตรง ชัดเจนของพื้นที่จัดเก็บและค่าประกันภัย แต่ยังต้นทุนยากการวัดของตัวแปรที่เพิ่มขึ้น และความซับซ้อน และมีความ ยืดหยุ่นลดลงดังนั้น สำหรับองค์กรธุรกิจ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ปัญหาหนึ่งที่เป็นคำสั่งขนาดใหญ่ไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับคำสั่งขนาดเล็กที่พบบ่อย คำสั่งซื้อขนาดใหญ่จะเพิ่มปริมาณของสินค้าคงคลังในมือซึ่งเป็นค่าใช้จ่าย แต่อาจได้รับประโยชน์จากส่วนลดปริมาณ คำสั่งที่ใช้บ่อยมีค่าใช้จ่ายในการประมวลผลและระดับสินค้าคงคลังขนาดเล็กที่เกิดขึ้นอาจเพิ่มขึ้นน่าจะเป็นของหุ้นลึกหนาบางที่นำไปสู่การสูญเสียลูกค้า ในหลักการปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้สามารถนำมาคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่เหมาะสมและพบ. ประเด็นที่สองที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในความต้องการ (คาดการณ์หรือสุ่ม) สำหรับผลิตภัณฑ์ ยกตัวอย่างเช่นการมีสินค้าที่จำเป็นในมือในการที่จะทำให้ยอดขายในช่วงฤดูการซื้อที่เหมาะสม (s) ตัวอย่างคลาสสิกเป็นร้านขายของเล่นก่อนคริสมาสต์ ถ้าไม่มีรายการบนชั้นวางหนึ่งจะไม่ได้ทำยอดขาย และตลาดขายส่งไม่สมบูรณ์ อาจมีความล่าช้ามากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับของเล่นที่นิยมมากที่สุด ดังนั้นผู้ประกอบการหรือผู้จัดการธุรกิจที่จะซื้อในสเปค อีกตัวอย่างหนึ่งคือร้านเฟอร์นิเจอร์ หากมีหกสัปดาห์หรือมากกว่าล่าช้าสำหรับลูกค้าที่จะได้รับสินค้าที่มียอดขายบางส่วนจะหายไป และอีกตัวอย่างหนึ่งเป็นร้านอาหารที่มากร้อยละของยอดขายที่มีแง่มุมที่มีมูลค่าเพิ่มของการเตรียมอาหารและการนำเสนอและดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่จะซื้อและจัดเก็บค่อนข้างมากขึ้นเพื่อลดโอกาสในการทำงานออกจากส่วนผสมสำคัญ ด้วยตัวอย่างเหล่านี้สถานการณ์ที่มักจะลงมาให้ทั้งสองคำถามที่สำคัญ: วิธีการที่คุณมีความมั่นใจว่าสินค้าที่จะขายและวิธีการมากคว่ำมีถ้ามันไม่? และประเด็นที่สามมาจากมุมมองที่สินค้าคงคลังยังทำหน้าที่ฟังก์ชั่น decoupling ของทั้งสองดำเนินการแยกจากกัน ยกตัวอย่างเช่นการทำงานในสินค้าคงคลังของกระบวนการมักจะสะสมอยู่ระหว่างสองหน่วยงานเนื่องจากการบริโภคและการผลิตแผนกประสานงานไม่ได้ทำงานของพวกเขา ด้วยการประสานงานที่ดีขึ้นของสินค้าคงคลังบัฟเฟอร์นี้จะถูกกำจัด นี้นำไปสู่ปรัชญาทั้งเพียงในเวลาที่ระบุว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสินค้าคงคลังที่ได้รับการประเมินโดยทั่วไปทั้งตรงค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนของพื้นที่จัดเก็บและการประกันภัย แต่ยังมีค่าใช้จ่ายหนักเพื่อวัดของตัวแปรที่เพิ่มขึ้นและความซับซ้อน และความยืดหยุ่นลดลงดังนั้นสำหรับองค์กรธุรกิจ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

หนึ่งปัญหาคือไม่ค่อยมีเวลาสั่งซื้อขนาดใหญ่และขนาดเล็กใบสั่งบ่อย ใบสั่งซื้อที่มีขนาดใหญ่ จะเพิ่มปริมาณของสินค้าคงคลังในมือ ซึ่งมีราคาแพง แต่อาจได้รับประโยชน์จากส่วนลดปริมาณ สั่งบ่อยเป็นค่าใช้จ่ายในกระบวนการและผลขนาดเล็กระดับสินค้าคงคลังอาจเพิ่มความน่าจะเป็นของหุ้นครั้ง นำไปสู่การสูญเสียลูกค้าในหลักการ ปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมดสามารถคำนวณทางคณิตศาสตร์ และที่พบ

ปัญหาที่สองจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในความต้องการ ( เดาหรือสุ่ม ) สำหรับผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่นมีความต้องการสินค้าในมือเพื่อให้ยอดขายในช่วงฤดูที่เหมาะสมซื้อ ( s ) ตัวอย่างคลาสสิกคือร้านขายของเล่น ก่อนคริสต์มาส หากไม่ได้สินค้าบนชั้นวางหนึ่งจะไม่ทำให้ยอดขาย และตลาดขายส่งจะไม่สมบูรณ์แบบ สามารถมีความล่าช้ามาก โดยเฉพาะของเล่นที่นิยมมากที่สุด ดังนั้น ผู้ประกอบการ หรือ ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจจะซื้อ spec อย่างอื่น เป็นร้านเฟอร์นิเจอร์ ถ้ามี 6 สัปดาห์หรือมากกว่าล่าช้า สำหรับลูกค้าที่ได้รับสินค้า ขายบางอย่างจะหายไป และอีกอย่างคือ ร้านอาหารที่มีเปอร์เซ็นต์มากของยอดขายด้านมูลค่าเพิ่มของการเตรียมอาหาร และการนำเสนอ , และดังนั้นจึงมีเหตุผลที่จะซื้อและจัดเก็บค่อนข้างมาก เพื่อลดโอกาสที่ไม่มีส่วนผสมที่สำคัญ กับตัวอย่างทั้งหมด เหล่านี้ สถานการณ์มักจะลงมาทั้งสองคำถามสำคัญ : คุณมั่นใจแค่ไหนว่าสินค้าจะขายได้และวิธีการมาก upside มีถ้ามันไม่ได้ ?

และประเด็นที่สามมาจากดูสินค้าคงคลังที่ยังทำหน้าที่เป็นฟังก์ชันของ decoupling สองแยก การดำเนินงาน ตัวอย่างงานในกระบวนการสินค้าคงคลังมักจะสะสมระหว่างสองหน่วยงาน เนื่องจากการบริโภคและการผลิต ฝ่ายไม่ประสานงาน . ด้วยการปรับปรุงการประสานงานสำรองสินค้าคงคลังจะถูกคัดออก