Environmental ImpactThis category i

Environmental Impact

This category is tricky because biofuels are very similar to hydrocarbons and have some of the same emissions problems that standard fossil fuels have. They can, however, be more environmentally friendly if care is taken in how they are produced and distributed. It is also the case that biofuels have an impact on the environment other than emissions, so we must consider several different subcategories under this heading.

Spills and Surface Contamination

Biofuels are not 100% safe but they are much safer than fossil fuels. If you were to spill a large quantity of biofuel into a concentrated area, it would likely kill living organisms and contaminate surround soil or water. However, the scale of the impact would be orders of magnitude smaller than with fossil fuels.
First off, biofuels are biological molecules and this means they are biodegradable. Bacteria and other organisms that live naturally in the soil and water are able to use biofuel molecules as energy sources and break them down into harmless byproducts. This means that even though concentrated biofuel spills can kill things like plants and smaller animals, they will not persist in the environment and cause damage or make an area uninhabitable for long periods of time.

Sulfur and Atmospheric Contamination

One of the major problems to arise from burning fossil fuels, especially coal, is acid rain that comes from the high sulfur content of these fuels. Biofuels can be produced in ways that completely eliminate sulfur and thus can eliminate this component of acid rain.
On the other hand, biofuels tend to contain high levels of nitrogen, which can form compounds that also lead to acid rain and atmospheric contamination. On the whole, the net impact on acid rain production is usually negative, meaning biofuels can reduce acid rain. Importantly, biofuels can be carefully produced to ensure that contamination is as low as possible, giving them an edge over fossil fuels because it is easier to avoid contamination in the production phase than it is to remove contaminants during refining.

Greenhouse Gas (GHG) Emissions and Global Warming

This is the area in which the most care must be taken in how biofuels are produced. If biofuels are produced in the “correct” way, they can greatly reduce greenhouse gas emissions. If produced incorrectly, they can increase emissions. Here is how.
First, plants use carbon dioxide, the major greenhouse gas of concern, to grow and produce food. So, plants are able to reduce the amount of carbon dioxide in the atmosphere and thus decrease global warming. Biofuels, when grown from plants, can thus offset their CO2 admissions because they take up the gas during growth that is produced when the fuel is burned. The idea is that if there is a one-to-one relationship, then the gas produced is the same as the gas taken in and there is no net impact on global warming. The problem is that achieving the one-to-one ratio may be impossible.

For starters, energy has to be invested into growing the crop itself. This energy comes in the form of planting seeds, tilling and preparing the ground, and importing water and nutrients. As it turns out, you cannot get something for nothing and so many crops require more energy input than they give out in the end. In other words, if you take into account the GHG emissions that occur just to grow the crop and add that to the greenhouse gas emissions from burning the crop, there is more CO2 produced than taken up and global warming worsens. As of yet, there is no good solution to this problem. Many companies are looking to invest energy in the form of sunlight so that there is no GHG emitted during the production phase. There is still a net energy INPUT, but no greenhouse gas is produced. This seems to be most feasible with algae.

The other problem to consider is land use. If land is cleared to grow a biofuel, then the plant life that existed there is eliminated. This problem is considered in more detail in the disadvantages of biofuel, but the main point is that carbon is produced to clear that land and the benefits of the plants on the land are lost. By some estimates and depending on the type of plant life removed, the impact could be a carbon debt that can take as long as 500 years to pay back. Again, the solution to this problem may be algae.

If the above technical impediments can be overcome, then the net impact of biofuels on the environment can be limited. In such a scenario, the greenhouse gas emissions and impact on global warming will be far lower with biofuels than with fossil fuels. The feasibility of achieving this advantage remains to be seen.

Energy Independence

This advantage is obvious and has no immediate drawbacks. If a country has the land resources to grow biofuel feedstock, then it can produce its own energy. This ends any dependence on fossil fuel resources, which are geographically limited to only a few places in the world. Given the amount of conflict that occurs over fuel supplies and prices, energy independence should have a net positive effect.

Despite this utopian ideal, the reality of biofuel energy independence is not so clear cut. First, not every country has the resources needed to grow biofuels. Many countries do not have the land area, access to water, or ability to produce fertilizer for crops and thus would still need to rely on others for their fuel to some degree.

As a second point, the shift in power could have a highly disruptive effect. First, national economies around the world depend on oil revenue to survive. Many Middle Eastern countries have a vested interest in ensuring that oil remains important and profitable given that as much as 90% of government revenue in these places comes from oil exports. To compound this problem, most of these countries would go from net energy exporters to net energy importers, further damaging their economies and forcing them to completely shift their industrial and commercial focuses.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

สิ่งแวดล้อมประเภทนี้เป็นเรื่องยุ่งยากเนื่องจากเชื้อเพลิงชีวภาพจะคล้ายกับสารไฮโดรคาร์บอน และมีบางส่วนของปัญหาปล่อยก๊าซเดียวกันที่มีมาตรฐานเชื้อเพลิงฟอสซิล พวกเขา อย่างไรก็ตาม ได้เพิ่มเติมสิ่งแวดล้อมเดินทางสะดวกถ้าดูแลถูกวิธีจะถูกผลิต และแจกจ่าย ยังเป็นกรณีที่เชื้อเพลิงชีวภาพมีผลต่อสภาพแวดล้อมไม่ปล่อย ดังนั้นเราต้องพิจารณาหลายประเภทย่อยต่าง ๆ ภายใต้หัวข้อนี้การหกรั่วไหลและปนเปื้อนที่ผิวเชื้อเพลิงชีวภาพไม่ปลอดภัย 100% แต่มีความปลอดภัยมากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล ก็หกขนาดใหญ่ปริมาณของเชื้อเพลิงชีวภาพในพื้นที่เข้มข้น มันจะฆ่าโอกาสชีวิต และปนเปื้อนดินรอบทิศทางหรือน้ำ อย่างไรก็ตาม ขนาดของผลกระทบจะเป็นอันดับของขนาดเล็กกว่ากับเชื้อเพลิงฟอสซิลก่อนปิด เชื้อเพลิงชีวภาพโมเลกุลชีวภาพ และนี้หมายความว่า จะสลาย แบคทีเรียและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติในดินและน้ำสามารถใช้เชื้อเพลิงชีวภาพโมเลกุลเป็นแหล่งพลังงาน และทำลายลงเป็นสารอันตราย นี้หมายความว่าถึงแม้ว่าเชื้อเพลิงชีวภาพเข้มข้นกระเซ็นใส่สามารถฆ่าเช่นพืชและสัตว์ขนาดเล็ก พวกเขาจะไม่คงอยู่ในสภาพแวดล้อม และก่อให้เกิดความเสียหาย หรือทำพื้นที่ uninhabitable สำหรับระยะเวลานานกำมะถันและปนเปื้อนในอากาศหนึ่งในปัญหาใหญ่จะเกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ่านหิน ฝนกรดที่มาจากเนื้อหาในกำมะถันสูงของเชื้อเหล่านี้ ได้ เชื้อเพลิงชีวภาพสามารถผลิตในรูปแบบที่สมบูรณ์กำจัดกำมะถัน และสามารถกำจัดดัง นี้ส่วนประกอบของฝนกรดบนมืออื่น ๆ เชื้อเพลิงชีวภาพมักจะ มีไนโตรเจน ซึ่งสามารถสร้างสารที่นอกจากนี้ ฝนกรดและอากาศปนเปื้อน ในระดับสูง ทั้งหมดใน ผลกระทบฝนกรดผลิตสุทธิเป็นลบมักจะ เชื้อเพลิงชีวภาพความหมายสามารถลดฝนกรด สำคัญ เชื้อเพลิงชีวภาพสามารถระมัดระวังผลิตเพื่อให้แน่ใจว่าการปนเปื้อนเป็นพิเศษ ให้ขอบมากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเนื่องจากง่ายต่อการหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนในขั้นตอนการผลิตที่จะเอาสารปนเปื้อนในระหว่างการกลั่นปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อนนี้คือพื้นที่ที่ต้องรับการดูแลมากที่สุดในวิธีผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ ถ้ามีผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพในวิธี "ถูกต้อง" พวกเขาสามารถมากลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ถ้าผลิตไม่ถูกต้อง พวกเขาสามารถเพิ่มการปล่อยก๊าซ นี่คือวิธีการครั้งแรก พืชใช้คาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญของปัญหา การเจริญเติบโต และผลิตอาหาร ดังนั้น พืชจะสามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ และลดภาวะโลกร้อนดังนั้น เชื้อเพลิงชีวภาพ เมื่อเติบโตขึ้นจากพืช จึงสามารถตรงข้ามรับสมัครของ CO2 เนื่องจากใช้ก๊าซในระหว่างการเจริญเติบโตที่ผลิตเมื่อเผาเชื้อเพลิง ความคิดก็คือถ้ามีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ก๊าซที่ผลิตได้เหมือนกับแก๊สใน แล้วผลกระทบสุทธิไม่มีภาวะ ปัญหาคือ ว่า บรรลุอัตราส่วนแบบหนึ่งต่อหนึ่งอาจจะเป็นไปไม่ได้การเริ่ม พลังงานได้จะลงทุนในการปลูกพืชเอง พลังงานนี้มาในรูปแบบของการปลูกเมล็ดพืช tilling เตรียมพื้นดิน และนำน้ำและสารอาหาร ดังปรากฎว่า คุณไม่สามารถรับเรื่อง และพืชจำนวนมากต้องการพลังงานเพิ่มเติมใส่กว่าจะให้ออกในสุด ในคำอื่น ๆ ถ้าคุณนำเข้าบัญชี การปล่อยก๊าซ GHG ที่เกิดขึ้นกับพืชผลเจริญเติบโต และเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้พืชผล ว่ามี CO2 มากกว่า ผลิตกว่าถ่ายค่า และภาวะ worsens ยัง มีวิธีแก้ปัญหานี้ไม่ดี หลายบริษัทกำลังมองหาการลงทุนพลังงานในรูปแบบของแสงแดดนั้นมีปริมาณไม่ออกระหว่างขั้นตอนการผลิต ยังมีพลังงานสุทธิป้อน แต่ผลิตก๊าซเรือนกระจกไม่ นี้ดูเหมือนจะเป็นไปได้มากที่สุดกับสาหร่ายปัญหาการใช้ที่ดินได้ ถ้าที่ดินตั้งไว้เติบโตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ ชีวิตพืชที่มีอยู่คือการตัดออก ปัญหานี้จะพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมในข้อเสียของเชื้อเพลิงชีวภาพ แต่จุดหลักเป็นคาร์บอนผลิตการล้างดินและประโยชน์ของพืชบนบกหายไป โดยประมาณการบาง และขึ้นอยู่ กับชนิดของโรงงานเอา ผลกระทบอาจเป็นหนี้คาร์บอนซึ่งอาจใช้เวลานาน 500 ปีเพื่อคืนเงินให้ อีกครั้ง การแก้ไขปัญหานี้อาจเป็นสาหร่ายถ้าสามารถเอาชนะ impediments เทคนิคข้างต้นแล้วผลกระทบสุทธิของเชื้อเพลิงชีวภาพในสิ่งแวดล้อมได้อย่างจำกัด ในสถานการณ์ดังกล่าว การปล่อยก๊าซเรือนกระจกและผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนจะได้ต่ำ ด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพกว่ากับเชื้อเพลิงฟอสซิล ยังคงความเป็นไปได้ของการบรรลุสิ่งนี้ได้พลังงานอิสระสิ่งนี้เป็นที่ชัดเจน และมีข้อเสียไม่ทันที ถ้าประเทศมีทรัพยากรดินปลูกวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวภาพ ที่สามารถผลิตพลังงานเอง นี้สิ้นสุดการพึ่งพาทรัพยากรเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่กันทางภูมิศาสตร์จำกัดเพียงไม่กี่ที่ในโลก กำหนดจำนวนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในวัสดุเชื้อเพลิงและราคา พลังงานอิสระควรมีผลบวกสุทธิแม้นี้เหมาะกล่าว ความจริงของความเป็นอิสระของพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพได้ตัดชัดเจนดังนั้น ครั้งแรก ไม่ทุกประเทศมีทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตเชื้อเพลิงชีวภาพ หลายประเทศมีพื้นที่ การเข้าถึงน้ำ หรือความสามารถในการผลิตปุ๋ยสำหรับพืช และจึง ยังต้องพึ่งผู้อื่นสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงของพวกเขาไปบ้างเป็นจุดที่สอง อำนาจอาจมีผลขวัญสูง แรก ชาติเศรษฐกิจโลกขึ้นอยู่กับน้ำมันรายได้เพื่อความอยู่รอด ประเทศตะวันออกกลางมีชอบธรรมที่มั่นใจว่า น้ำมันยังคงความสำคัญ และผลกำไรที่มากถึง 90% ของรายได้รัฐบาลในสถานเหล่านี้มาจากการส่งออกน้ำมัน ประกอบปัญหานี้ ส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านี้จะไปจากผู้ส่งออกพลังงานสุทธิการนำเข้าพลังงานสุทธิ ทำลายเศรษฐกิจของพวกเขา และบังคับให้เลื่อนโฟกัสของอุตสาหกรรม และพาณิชย์อย่างสมบูรณ์ต่อไป

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ผลกระทบสิ่งแวดล้อมประเภทนี้เป็นเรื่องยุ่งยากเพราะเชื้อเพลิงชีวภาพจะคล้ายกับไฮโดรคาร์บอนและมีบางส่วนของปัญหาการปล่อยก๊าซเดียวกันที่เชื้อเพลิงฟอสซิลมีมาตรฐาน พวกเขาสามารถ แต่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นหากจะนำมาดูแลในวิธีการที่พวกเขามีการผลิตและจัดจำหน่าย นอกจากนี้ยังมีกรณีที่เชื้อเพลิงชีวภาพมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอื่น ๆ นอกเหนือจากการปล่อยมลพิษดังนั้นเราจะต้องพิจารณาประเภทย่อยที่แตกต่างกันภายใต้หัวข้อนี้. รั่วไหลและการปนเปื้อนพื้นผิวเชื้อเพลิงชีวภาพไม่ได้ปลอดภัย 100% แต่พวกเขาจะปลอดภัยกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล หากคุณกำลังจะรั่วไหลปริมาณมากของเชื้อเพลิงชีวภาพลงไปในพื้นที่ที่มีความเข้มข้นก็มีแนวโน้มที่จะฆ่าสิ่งมีชีวิตและการปนเปื้อนในดินรอบทิศทางหรือน้ำ แต่ขนาดของผลกระทบที่จะมีคำสั่งของขนาดเล็กกว่าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล. ก่อนปิดเชื้อเพลิงชีวภาพเป็นโมเลกุลทางชีวภาพและนี้หมายความว่าพวกเขาจะถูกย่อยสลาย แบคทีเรียและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติในดินและน้ำสามารถที่จะใช้โมเลกุลของเชื้อเพลิงชีวภาพเป็นแหล่งพลังงานและทำลายพวกเขาลงไปในสารที่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งหมายความว่าถึงแม้มีความเข้มข้นที่รั่วไหลเชื้อเพลิงชีวภาพสามารถฆ่าสิ่งที่ต้องการพืชและสัตว์ที่มีขนาดเล็กพวกเขาจะไม่คงอยู่ในสภาพแวดล้อมและทำให้เกิดความเสียหายหรือทำให้พื้นที่อยู่อาศัยเป็นเวลานานของเวลา. กำมะถันและบรรยากาศการปนเปื้อนหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่จะเกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ่านหินเป็นฝนกรดที่มาจากปริมาณกำมะถันสูงของเชื้อเพลิงเหล่านี้ เชื้อเพลิงชีวภาพสามารถผลิตได้ในรูปแบบที่สมบูรณ์กำจัดกำมะถันและทำให้สามารถขจัดส่วนประกอบของฝนกรดนี้. ในทางตรงกันข้ามเชื้อเพลิงชีวภาพมีแนวโน้มที่จะมีระดับสูงของไนโตรเจนซึ่งสามารถสร้างสารที่นำไปสู่การเกิดฝนกรดและการปนเปื้อนในชั้นบรรยากาศ ในทั้งที่ผลกระทบต่อการผลิตสุทธิฝนกรดมักจะลบหมายถึงเชื้อเพลิงชีวภาพสามารถลดการเกิดฝนกรด ที่สำคัญเชื้อเพลิงชีวภาพสามารถผลิตได้อย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าการปนเปื้อนที่เป็นที่ต่ำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ให้พวกเขาขอบกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเพราะมันเป็นเรื่องง่ายที่จะหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนในขั้นตอนการผลิตกว่าก็คือการเอาสารปนเปื้อนในระหว่างการกลั่น. ก๊าซเรือนกระจก (GHG) และภาวะโลกร้อนนี้เป็นพื้นที่ที่ดูแลส่วนใหญ่จะต้องดำเนินการในวิธีการที่เชื้อเพลิงชีวภาพที่มีการผลิต หากมีการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพใน "ถูกต้อง" วิธีที่พวกเขาสามารถลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก หากผลิตไม่ถูกต้องพวกเขาสามารถเพิ่มการปล่อยก๊าซ นี่คือวิธี. ครั้งแรกที่พืชใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญของความกังวลที่จะเติบโตและการผลิตอาหาร ดังนั้นพืชสามารถที่จะลดปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศและทำให้ลดภาวะโลกร้อน เชื้อเพลิงชีวภาพเมื่อเติบโตขึ้นจากพืชจึงสามารถชดเชยการรับสมัคร CO2 ของพวกเขาเพราะพวกเขาใช้ก๊าซในช่วงการเจริญเติบโตที่ผลิตเมื่อเชื้อเพลิงถูกเผา ความคิดที่ว่าถ้ามีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งแล้วก๊าซที่ผลิตได้เป็นเช่นเดียวกับก๊าซนำเข้าและไม่มีผลกระทบสุทธิภาวะโลกร้อน ปัญหาคือว่าการบรรลุอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่งอาจเป็นไปไม่ได้. สำหรับ starters, พลังงานจะต้องมีการลงทุนในการเจริญเติบโตของพืชเอง พลังงานนี้มาในรูปแบบของการปลูกเมล็ดพรวนและการเตรียมพื้นดินและการนำเข้าน้ำและสารอาหาร มันจะเปิดออกคุณไม่สามารถได้รับบางสิ่งบางอย่างเพื่ออะไรและพืชจำนวนมากจำเป็นต้องใช้พลังงานมากขึ้นกว่าที่พวกเขาให้ออกในที่สุด ในคำอื่น ๆ ถ้าคุณคำนึงปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อให้พืชเจริญเติบโตและเพิ่มที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ของพืชที่มี CO2 มากขึ้นกว่าที่ผลิตนำขึ้นและภาวะโลกร้อนเลวร้าย ขณะที่ยังไม่มีการแก้ปัญหาที่ดีในการแก้ปัญหานี้ หลาย บริษัท กำลังมองหาการลงทุนพลังงานในรูปแบบของแสงแดดเพื่อให้มีก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาในช่วงที่ไม่มีขั้นตอนการผลิต ยังคงมีเข้าพลังงานสุทธิ แต่ก๊าซเรือนกระจกที่ไม่มีการผลิต นี้น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดที่มีสาหร่าย. ปัญหาอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณาคือการใช้ประโยชน์ที่ดิน ถ้าที่ดินจะถูกล้างออกจะเติบโตเชื้อเพลิงชีวภาพแล้วชีวิตของพืชที่มีอยู่ที่นั่นจะถูกกำจัดออก ปัญหานี้จะได้รับการพิจารณาในรายละเอียดในข้อเสียของเชื้อเพลิงชีวภาพ แต่จุดหลักคือคาร์บอนที่ผลิตเพื่อล้างดินแดนที่และผลประโยชน์ของพืชบนที่ดินที่จะหายไป โดยประมาณการบางและขึ้นอยู่กับชนิดของพืชออกผลกระทบที่อาจจะเป็นหนี้คาร์บอนที่สามารถใช้เวลานานถึง 500 ปีที่จะจ่ายคืน อีกครั้งวิธีการแก้ปัญหานี้อาจจะเป็นสาหร่าย. ถ้าอุปสรรคทางเทคนิคดังกล่าวข้างต้นจะสามารถเอาชนะแล้วผลกระทบสุทธิของเชื้อเพลิงชีวภาพที่มีต่อสิ่งแวดล้อมสามารถถูก จำกัด ในสถานการณ์เช่นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนจะไกลที่ต่ำกว่าด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล ความเป็นไปได้ของการบรรลุข้อได้เปรียบนี้คงที่จะเห็น. พลังงานอิสรภาพประโยชน์นี้เป็นที่ชัดเจนและไม่มีข้อบกพร่องทันที ถ้าเป็นประเทศที่มีทรัพยากรที่ดินที่จะเติบโตวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวภาพแล้วจะสามารถผลิตพลังงานของตัวเอง นี้สิ้นสุดการพึ่งพาทรัพยากรใด ๆ เกี่ยวกับเชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งจะถูก จำกัด ทางภูมิศาสตร์จะมีเพียงไม่กี่แห่งในโลก ได้รับปริมาณของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาพลังงานอิสระควรมีผลบวกสุทธิ. อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เหมาะยูโทเปียความเป็นจริงของการพึ่งพาพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพไม่เป็นเช่นนั้นชัดเจน ครั้งแรกไม่ได้ทุกประเทศมีทรัพยากรที่จำเป็นในการเจริญเติบโตเชื้อเพลิงชีวภาพ หลายประเทศไม่ได้มีพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงน้ำหรือความสามารถในการผลิตปุ๋ยสำหรับพืชจึงยังคงต้องพึ่งพาผู้อื่นเป็นเชื้อเพลิงของพวกเขาในระดับหนึ่ง. ในฐานะที่เป็นจุดที่สอง, การเปลี่ยนแปลงในอำนาจอาจมีความยุ่งยากอย่างมาก ผล ครั้งแรกที่เศรษฐกิจของประเทศทั่วโลกขึ้นอยู่กับรายได้จากน้ำมันที่จะอยู่รอด หลายประเทศในตะวันออกกลางมีส่วนได้เสียในการสร้างความมั่นใจว่าน้ำมันยังคงได้รับความสำคัญและผลกำไรที่มากที่สุดเท่าที่ 90% ของรายได้ของรัฐบาลในสถานที่เหล่านี้มาจากการส่งออกน้ำมัน เพื่อสารประกอบปัญหานี้ส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านี้จะไปจากผู้ส่งออกพลังงานสุทธิให้แก่ผู้นำเข้าพลังงานสุทธิต่อการทำลายเศรษฐกิจของพวกเขาและบังคับให้พวกเขาที่จะสมบูรณ์เปลี่ยนมุ่งเน้นอุตสาหกรรมและการค้าของพวกเขา

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

หมวดนี้เป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะน้ำมันจะคล้ายกันมากกับไฮโดรคาร์บอนและมีบางส่วนของการปล่อยปัญหาเดียวกันว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลมาตรฐานมี ที่พวกเขาสามารถ แต่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า ถ้าสนใจจะถ่าย ในวิธีที่พวกเขามีการผลิต และการกระจาย มันยังเป็นกรณีว่า เชื้อเพลิงชีวภาพมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการปล่อย ,ดังนั้น เราต้องพิจารณาหลายหมวดหมู่ย่อยภายใต้หัวเรื่องนี้

รั่วไหลและพื้นผิวที่ปนเปื้อน

ก็ไม่ได้ปลอดภัย 100% แต่พวกเขาจะปลอดภัยมากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล . ถ้าคุณเปิดเผยปริมาณขนาดใหญ่ของเชื้อเพลิงชีวภาพเป็นกระจุกบริเวณ , มันอาจฆ่าสิ่งมีชีวิตและการปนเปื้อนล้อมรอบดินหรือน้ำ อย่างไรก็ตามขนาดของผลกระทบที่จะมีคำสั่งของขนาดที่มีขนาดเล็กกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล
ก่อนอื่นเชื้อเพลิงชีวภาพเป็นโมเลกุลทางชีวภาพและนี้หมายความว่าพวกเขาจะย่อยสลาย แบคทีเรีย และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติในดินและน้ำ สามารถใช้เชื้อเพลิงชีวภาพโมเลกุลเป็นแหล่งพลังงาน และตัดลงเป็นสารอันตราย .ซึ่งหมายความว่าถึงแม้ว่าเข้มข้นเชื้อเพลิงชีวภาพรั่วไหลสามารถฆ่าอย่างพืชและสัตว์ขนาดเล็กที่พวกเขาจะไม่คงอยู่ในสภาพแวดล้อม และก่อให้เกิดความเสียหาย หรือทำให้พื้นที่อยู่อาศัยไม่ได้เป็นเวลานาน ซัลเฟอร์ และบรรยากาศการปนเปื้อน



หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่จะเกิดขึ้นจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยเฉพาะถ่านหินเป็นฝนกรดนั้นมาจากปริมาณกำมะถันสูงของเชื้อเพลิงเหล่านี้ เชื้อเพลิงชีวภาพสามารถผลิตในรูปแบบที่สมบูรณ์ขจัดกำมะถัน และดังนั้นจึง สามารถกำจัดองค์ประกอบของฝนกรด
บนมืออื่น ๆ , เชื้อเพลิงชีวภาพที่มักจะประกอบด้วยไนโตรเจน ซึ่งสามารถสร้างสารประกอบที่ทำให้เกิดฝนกรดและการปนเปื้อนในอากาศ ในทั้งผลกระทบสุทธิต่อการผลิตฝนกรดมักจะลบ ความหมายก็สามารถลดกรดในน้ำฝน ที่สำคัญของโลก สามารถผลิตอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าการปนเปื้อนต่ำเท่าที่ทำได้ ให้พวกเขาขอบกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะมันเป็นเรื่องง่ายที่จะหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนในขั้นตอนการผลิต มากกว่าที่จะเอาสิ่งปนเปื้อนในระหว่างการกลั่น .

ก๊าซเรือนกระจก ( GHG ) มลพิษและภาวะโลกร้อน

โลกนี้คือพื้นที่ที่ดูแลมากที่สุดต้องถ่ายในเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิต ถ้าเชื้อเพลิงชีวภาพที่ผลิตในวิธีการที่ " ถูกต้อง " พวกเขาอย่างมากสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ถ้าผลิตอย่างไม่ถูกต้อง พวกเขาสามารถเพิ่มมลพิษ ที่นี่เป็นอย่างไร .
ครั้งแรก พืชใช้คาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกหลักของความกังวล การเติบโตและการผลิตอาหารดังนั้น พืชจะสามารถลดปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ และดังนั้นจึง ลดภาวะโลกร้อน เชื้อเพลิงชีวภาพ เมื่อเติบโตขึ้นจากพืช จึงสามารถชดเชยการรับสมัคร CO2 ของพวกเขาเพราะพวกเขาใช้ก๊าซในช่วงการเจริญเติบโตที่ผลิตเมื่อเชื้อเพลิงถูกเผาไหม้ ความคิดคือว่าถ้ามันเป็นแบบความสัมพันธ์แล้วแก๊สผลิตเป็นเช่นเดียวกับก๊าซอยู่ และไม่มีผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ปัญหาคือการบรรลุอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่งอาจเป็นไปไม่ได้

ก่อนอื่น พลังงานที่ได้จะลงทุนในการปลูกพืชนั่นเอง พลังงานนี้จะมาในรูปแบบของการปลูกเมล็ดพืชการไถพรวน และการเตรียมดิน การนำเข้าสารอาหาร น้ำและ กลับกลายเป็นว่าคุณไม่สามารถได้รับสิ่งที่ไม่มีอะไร และพืชมากมาย ต้องการพลังงานมากขึ้นกว่าที่พวกเขาให้เข้าออกได้ในที่สุด ในคำอื่น ๆถ้าคุณคำนึงถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นเพื่อปลูกพืชและรวมกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้พืชมีมากขึ้น CO2 ที่ผลิตกว่าขึ้นและภาวะโลกร้อนก็แย่ลง ก็ยังไม่มีดี วิธีการแก้ไขปัญหานี้หลาย บริษัท ต้องการลงทุนพลังงานในรูปแบบของแสงแดดเพื่อให้ไม่มีก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาในระหว่างขั้นตอนการผลิต มียังคงนำเข้าพลังงานสุทธิ แต่ไม่มีก๊าซเรือนกระจกที่ผลิต นี้ดูเหมือนว่าจะมากที่สุดที่เป็นไปได้กับสาหร่าย

ปัญหาอื่น ๆที่จะต้องพิจารณาคือการใช้ที่ดิน ถ้าที่ดินมีการล้างเพื่อเติบโตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ แล้วชีวิตของพืชที่มีอยู่มีการตัดออกปัญหานี้คือการพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมในข้อเสียของเชื้อเพลิงชีวภาพ แต่ประเด็นหลักคือ คาร์บอนที่ชัดเจนว่า ที่ดินและผลประโยชน์ของพืชบนที่ดินจะหายไป โดยการประมาณการและขึ้นอยู่กับชนิดของพืชออก ผลกระทบที่อาจจะหนี้คาร์บอนที่สามารถใช้เวลานานถึง 500 ปี จ่ายคืน อีกครั้ง วิธีการแก้ปัญหานี้อาจจะมีสาหร่าย .

ถ้าข้างต้นจะสามารถเอาชนะอุปสรรคทางด้านเทคนิคแล้วผลกระทบสุทธิของเชื้อเพลิงชีวภาพในสภาพแวดล้อมที่สามารถจำกัด ในสถานการณ์เช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและภาวะโลกร้อนจะไกลที่ต่ำกว่าด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล ความเป็นไปได้ของการบรรลุข้อได้เปรียบนี้ยังคงที่จะเห็น .

พลังงานอิสระ

นี้เป็นประโยชน์ที่ชัดเจนและได้ทันทีไม่มีข้อเสียถ้าประเทศมีทรัพยากรที่ดินปลูกวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวภาพ แล้วมันสามารถผลิตพลังงานได้เอง นี้สิ้นสุดใด ๆ การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลทรัพยากร ซึ่งเป็นทางภูมิศาสตร์ที่จำกัดเพียงไม่กี่แห่งในโลก ระบุจำนวนของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมากกว่าวัสดุเชื้อเพลิงและราคาพลังงานอิสระควรมีตาข่ายบวกผล

แม้จะเหมาะสังคมอุดมคตินี้ความเป็นจริงของความเป็นอิสระพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ ไม่ค่อยชัดเจน ก่อน ไม่ใช่ทุกประเทศมีทรัพยากรที่ต้องพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพ . หลายประเทศไม่มีพื้นที่ใช้น้ำ หรือความสามารถในการผลิตปุ๋ยสำหรับพืช จึงยังคงต้องพึ่งพาคนอื่น ๆของเชื้อเพลิงในระดับหนึ่ง

เป็นจุดที่สอง เปลี่ยนอำนาจอาจมีผลในเชิงก่อกวน . ครั้งแรกเศรษฐกิจของประเทศขึ้นอยู่กับรายได้น้ำมันทั่วโลกเพื่อความอยู่รอด ประเทศในตะวันออกกลางหลายเรื่ององค์กรลับในแน่ใจว่าน้ำมันยังคงสำคัญ และประโยชน์ที่ได้รับมากเท่าที่ 90 % ของรายได้รัฐบาลในสถานที่เหล่านี้มาจากการส่งออกน้ำมัน เพื่อสารประกอบปัญหานี้ส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านี้จะไปจากผู้ส่งออกพลังงานสุทธิสุทธิผู้นําเข้าพลังงานเพิ่มเติมทำลายเศรษฐกิจของพวกเขาและบังคับให้พวกเขาที่จะสมบูรณ์เปลี่ยนของอุตสาหกรรมและพาณิชย์เน้น .