1.0 INTRODUCTIONFailure Mode and Ef

1.0 INTRODUCTION
Failure Mode and Effect Analysis (FMEA) was first developed as a formal design methodology in the 1960s by the aerospace industry with their obvious reliability and safety requirements. Later, its use spread to other industries, such as the automotive, oil and natural gas. FMEA aims to identify and prioritize possible imperfections in products and processes. FMEA analyses
 Potential failure modes of product or machine,
 Potential effects of failure,
 Potential causes for failure (like Material defects, Design deficiencies, Processing and manufacturing deficiencies, and Service condition etc.)
 Assesses current process controls, and
 Determines a risk priority factor.

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

1.0 บทนำ
โหมดความล้มเหลวและผลวิเคราะห์ (FMEA) ได้รับการพัฒนาเป็นครั้งแรกที่วิธีการออกแบบอย่างเป็นทางการในปี 1960 โดยอุตสาหกรรมการบินและอวกาศที่มีความน่าเชื่อถือที่เห็นได้ชัดของพวกเขาและความต้องการความปลอดภัย ต่อมาใช้แพร่กระจายไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่นอุตสาหกรรมยานยนต์, น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ FMEA มีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุและจัดลำดับความสำคัญความไม่สมบูรณ์เป็นไปได้ในผลิตภัณฑ์และกระบวนการ FMEA วิเคราะห์
โหมดความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นของผลิตภัณฑ์หรือเครื่อง,
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นของความล้มเหลว
ที่อาจเกิดขึ้นสาเหตุสำหรับความล้มเหลว (เช่นข้อบกพร่องวัสดุ, การขาดการออกแบบ, การประมวลผลและข้อบกพร่องการผลิตและเงื่อนไขการใช้บริการอื่น ๆ )
ประเมินการควบคุมกระบวนการปัจจุบันและ
กำหนด ปัจจัยที่มีความสำคัญที่มีความเสี่ยง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

สำหรับบทนำ
จัดทำการวิเคราะห์ความล้มเหลวและผลกระทบ ( FMEA ) ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรกเป็นวิธีการออกแบบอย่างเป็นทางการในปี 1960 โดยอุตสาหกรรมการบินที่มีความชัดเจนของพวกเขาและความต้องการความปลอดภัย ภายหลังการใช้แพร่กระจายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น ยานยนต์ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุและจัดลำดับความสำคัญข้อบกพร่องเป็นไปได้ในผลิตภัณฑ์และกระบวนการ วิเคราะห์ FMEA
ศักยภาพโหมดความล้มเหลวของผลิตภัณฑ์หรือเครื่อง
ศักยภาพผลของความล้มเหลว ,
ศักยภาพสำหรับสาเหตุของความล้มเหลว ( เช่นข้อบกพร่องวัสดุการออกแบบบกพร่อง การประมวลผล และการ ผลิต และเงื่อนไขการให้บริการ ฯลฯ )
ประเมินปัจจุบันการควบคุมกระบวนการและกำหนดลำดับความสำคัญ
ปัจจัยความเสี่ยง