Encouraging responsible behavior Th

Encouraging responsible behavior
The strategies teachers use to build children's social and emotional understanding contribute to the development of responsible behavior by sensitizing children of all ages to the importance of considering others' needs and desires. But more can be done. For example, with preschoolers and young are primary grade children, teachers can do the following:
Involve children in creating rules and expectations to guide behavior. Teachers might ask children what they think fair behavior is and guide the discussion to consider individual as well as group needs.
Model responsible behavior and highlight instances when children behave kindly toward each other, in each case providing children with the reasons certain actions are helpful or nice: "When you invited Shayna and Damien to take turns with you on the new scooter, you made them happy. It was a friendly thing to do!"
Implement a curriculum that includes many opportunities for project work, group games, and dramatic play so children can learn and practice the skills of negotiating, following rules, and solving problems cooperatively with peers. This can be especially effective in supporting new social skills when teachers create project teams that include children from different social groups that have emerged in the classroom.
Remain attuned to peer interactions and use them as opportunities to coach and support children's attempts to consider and respond to others' needs and goals.
Children as group members
One important aspect of classroom learning is that children are members of a group. Children are classroom group members, of course, but they are also members of the informal groups that they create. These groups can consist of spontaneous playgroups in the classroom or outdoors, groups of children working together on a project, or more enduring social groups in which children regularly play and work with preferred partners. Group membership is an important social experience that helps children learn how to interact cooperatively with others in the context of shared goals and expectations.
Young children tend to group with peers who are like themselves--who have the same interests; are the same gender, age, or ethnicity; or even have the same accent. Once they create enduring groups on this basis, children express a preference to be with their own group members and are even inclined to exclude others from joining in, which researchers call an in-group preference (Aboud 2003; Dunham, Baron, & Carey 2011). This begins to appear at age 4 and increases until around age 7 or 8, when in-group preferences slowly begin to decline naturally (killen, Mulvey, & Hitti 2013). As upsetting as it is to teachers and parents to find young children creating exclusionary social groups, researchers who study these groups agree that it is a common developmental process and does not foreshadow enduring biases or social problems (Bigler& Liben 2007).
Even though it is developmentally typical, children's in-group preferences in late preschool and early primary grades provide teachers with opportunities to guide their thinking about diversity and inclusion. For children of these ages, teachers can do the following:
Support inclusive attitudes through their actions. But keep in mind that research on children's group beliefs indicates that teachers should also clearly state nonbiased messages (Bigler 2013). Making comments like, “Both men and women can be firefighters” broadens children's understanding of the characteristics associated with their gender.
Help children understand the commonalities people share that transcend group differences. “Sofia, you speak Spanish and Lucas speaks English, but together you are a great block-building team.” Children develop in-group preferences because they assume that people's differences associated with age, gender, or other characteristics are basic and unchangeable (Bigler& Liben 2007).
Set a tone of positive regard for diversity in the classroom community. The school setting enables children to become familiar with practices, beliefs, backgrounds, and preferences (such as food or dress) that are characteristic of groups different from their own.
Create activity groups that integrate children of different ages, genders, backgrounds, and ethnicities to help them discover for themselves the characteristics and abilities they share.
Vary the composition of groups or pairings of children for different projects. This can help children appreciate how others contribute a variety of strengths to the group. A child who has never spoken aloud in a large group may be the one who quickly discovers the solution to a small group's challenging puzzle. Teachers can help point this out.
Conclusion
Bringing social and emotional learning into social studies enables teachers to intentionally support the skills and knowledge that make classroom learning-particularly, group collaborative learning-exciting and fun for children. It also builds bridges between the abilities of preschool children who are constructing their understanding of what others think and feel, and the abilities of primary grade children who are delving more deeply into the mental processes that make people unique and enable them to be ambitious learners. As social and emotional learning becomes part of social studies curricula in preschool through prima grades, children of all ages is begin to grasp the complex and exciting human dimensions of our life together.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ส่งเสริมการทำงานที่รับผิดชอบ ครูยุทธศาสตร์การสร้างสังคมของเด็ก และความเข้าใจความรู้สึกสนับสนุนการพัฒนาพฤติกรรมความรับผิดชอบ โดยการกระตุ้นเด็กทุกเพศทุกวัยให้ความสำคัญของการพิจารณาความต้องการของผู้อื่นและความต้องการ แต่เพิ่มเติมสามารถทำได้ ตัวอย่าง preschoolers และยังมีเด็กเกรดหลัก ครูสามารถทำต่อไปนี้: เกี่ยวข้องกับเด็กในการสร้างกฎและเพื่อแนะนำพฤติกรรมที่คาดหวัง ครูอาจถามเด็กว่าคิดอย่างไรเป็นพฤติกรรมที่ดี และแนะนำการพิจารณาบุคคล รวมทั้งความต้องการจัดกลุ่มสนทนา รูปแบบลักษณะการทำงานที่รับผิดชอบ และเน้นอินสแตนซ์เมื่อเด็กทำงานกรุณาต่อกัน ในแต่ละกรณีให้เด็กมีการดำเนินการบางอย่างมีประโยชน์ หรือดี: "เมื่อคุณได้รับเชิญ Shayna และเดเมียนผลัดกับคุณบนมอเตอร์ไซด์ใหม่ คุณทำให้พวกเขามีความสุข มันเป็นสิ่งที่ดีจะทำ" ใช้หลักสูตรที่มีโอกาสมากมายสำหรับงานโครงการ กลุ่ม เกม และเล่นละครเพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ และฝึก ทักษะของการเจรจาต่อรอง ต่อกฎ และการแก้ไขปัญหา cooperatively กับเพื่อน นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสนับสนุนสังคมใหม่เมื่อครูสร้างทีมงานโครงการที่มีเด็กจากกลุ่มสังคมต่าง ๆ ที่ได้เกิดในห้องเรียนอยู่ attuned เพื่อนโต้ตอบ และใช้เป็นโอกาสในการอบรม และสนับสนุนความพยายามของเด็กจะพิจารณา และตอบสนองต่อความต้องการและเป้าหมายของคนอื่น เด็กที่เป็นสมาชิกของกลุ่ม แง่มุมที่สำคัญหนึ่งของห้องเรียนเรียนรู้ได้ว่า เด็กเป็นสมาชิกของกลุ่ม เด็กเป็นห้องเรียนกลุ่มสมาชิก แน่นอน แต่พวกเขายังเป็นสมาชิกของกลุ่มอย่างไม่เป็นทางที่พวกเขาสร้างขึ้น กลุ่มเหล่านี้สามารถประกอบด้วย playgroups อยู่ในห้องเรียน หรือกลางแจ้ง กลุ่มของเด็กที่ทำงานร่วมกันโครงการ น้อยยั่งยืนสังคมกลุ่มที่เล่นเด็กประจำ และทำงานกับคู่ค้าต้องการ สมาชิกกลุ่มมีประสบการณ์ทางสังคมสำคัญที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการทำงาน cooperatively กับผู้อื่นในบริบทเป้าหมายร่วมและความคาดหวัง เด็กมีแนวโน้มการ จัดกลุ่มกับเพื่อนที่เป็นเหมือนตัวเอง - ที่มีความสนใจเดียวกัน เดียวกันเพศ อายุ หรือเชื้อ ชาติ หรือแม้แต่มีสำเนียงเดียวกัน เมื่อสร้างกลุ่มยั่งยืนบนพื้นฐานนี้ เด็กแสดงความสนใจให้กับสมาชิกกลุ่มของตนเอง และจะเข้าใจแม้จะไม่รวมอื่น ๆ เข้าใน ซึ่งนักวิจัยเรียกกำหนดลักษณะ in-group (Aboud 2003 Dunham รอน และโชว์พลัง 2011) นี้เริ่มปรากฏในยุค 4 และเพิ่มจนกว่ารอบอายุ 7 หรือ 8 เมื่อ in-group ลักษณะช้าจะเริ่มลดลงตามธรรมชาติ (killen, Mulvey, & Hitti 2013) เป็น upsetting ซึ่งเป็นครูและผู้ปกครองหาเด็กสร้างกลุ่มสังคม exclusionary นักวิจัยที่ศึกษากลุ่มเหล่านี้ยอมรับว่า เป็นกระบวนการพัฒนาทั่วไป และ foreshadow ยอมยั่งยืนหรือปัญหาสังคม (Bigler & Liben 2007)แม้ว่าจะเป็น developmentally ทั่วไป ลักษณะ in-group เด็กในหอศิลป์สายและเกรดหลักก่อนให้ครู มีโอกาสนำความคิดหลากหลายและรวม เด็กวัยนี้ ครูดังต่อไปนี้: สนับสนุนทัศนคติรวมถึงการกระทำของ แต่โปรดจำไว้ว่า วิจัยความเชื่อกลุ่มเด็กแสดงว่า ครูยังชัดเจนควรระบุข้อความ nonbiased (Bigler 2013) ทำให้ความเห็นชอบ, "ทั้งชาย และหญิงสามารถดับเพลิง" แผ่กว้างเข้าใจเด็กในลักษณะที่สัมพันธ์กับเพศของตนช่วยให้เด็กเข้าใจหุ้นคน commonalities ที่ transcend ความแตกต่างของกลุ่ม "โซเฟีย คุณพูดภาษาสเปน และ Lucas พูดภาษาอังกฤษ ได้ร่วมกันคุณมีทีมงานสร้างบล็อกดี" เด็กพัฒนาลักษณะ in-group เนื่องจากคิดว่าความแตกต่างของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับอายุ เพศ หรืออื่น ๆ ลักษณะเป็นพื้นฐาน และยืนยัน (Bigler และ Liben 2007) ตั้งเสียงของความเคารพความหลากหลายบวกในห้องเรียนชุมชน ตั้งโรงเรียนช่วยให้เด็กคุ้นเคยกับการปฏิบัติ ความเชื่อ พื้นหลัง และการตั้งค่า (เช่นอาหารหรือเครื่องแต่งกาย) ที่มีลักษณะของกลุ่มที่แตกต่างจากตนเอง สร้างกลุ่มกิจกรรมที่รวมเด็กต่างวัย ผสานระหว่างเพศทั้ง พื้นหลัง และ ethnicities เพื่อช่วยในการค้นพบด้วยตนเองลักษณะและความสามารถที่จะใช้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของกลุ่มหรือ pairings ของเด็กในโครงการต่าง ๆ นี้สามารถช่วยเด็กที่ชื่นชอบว่าผู้อื่นมีส่วนร่วมหลากหลายจุดแข็งให้กับกลุ่ม เด็กที่ไม่เคยพูดออกเสียงในกลุ่มขนาดใหญ่อาจมีผู้พบทางออกให้กับปัญหาท้าทายของกลุ่มเล็ก ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ครูสามารถช่วยชี้นี้ บทสรุป นำทางสังคม และทางอารมณ์การเรียนรู้เป็นครูช่วยสังคมศึกษาตั้งใจสนับสนุนทักษะและความรู้ที่ทำให้ห้องเรียนเรียนรู้โดยเฉพาะ กลุ่มร่วมเรียนรู้ที่น่าตื่นเต้นและสนุกสำหรับเด็ก ยังสร้างสะพานระหว่างความสามารถของเด็ก preschool จะสร้างความเข้าใจของสิ่งที่ผู้อื่นคิด และรู้สึก และความสามารถของเด็กเกรดหลักมี delving ยิ่งลึกเข้าไปในกระบวนการทางจิตที่ทำให้คนไม่ซ้ำกัน และช่วยให้คุณสามารถเรียนทะเยอทะยาน เป็นการเรียนรู้ทางสังคม และทางอารมณ์กลายเป็น ส่วนหนึ่งของหลักสูตรสังคมศึกษาในหอศิลป์ผ่านเกรดพรีม่า เด็กทุกเพศทุกวัยเป็นเริ่มเข้าใจซับซ้อน และน่าตื่นเต้นมิติมนุษย์ของชีวิตของเรากัน

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ส่งเสริมพฤติกรรมความรับผิดชอบกลยุทธ์ครูใช้ในการสร้างความเข้าใจของเด็กทางสังคมและอารมณ์มีส่วนร่วมในการพัฒนาพฤติกรรมความรับผิดชอบโดย sensitizing เด็กทุกเพศทุกวัยถึงความสำคัญของความต้องการการพิจารณาของผู้อื่นและความปรารถนา
แต่ที่สามารถทำได้
ตัวอย่างเช่นกับเด็กก่อนวัยเรียนและเยาวชนเป็นเด็กชั้นประถมศึกษาปีครูสามารถทำต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับเด็กในการสร้างกฎระเบียบและความคาดหวังที่จะให้คำแนะนำพฤติกรรม ครูอาจจะถามเด็กว่าสิ่งที่พวกเขาคิดว่าพฤติกรรมที่เป็นธรรมและเป็นแนวทางในการอภิปรายในการพิจารณาของแต่ละบุคคลเช่นเดียวกับความต้องการของกลุ่ม.
รุ่นพฤติกรรมความรับผิดชอบและเน้นกรณีเมื่อเด็กประพฤติกรุณาเข้าหากันในแต่ละกรณีให้เด็กที่มีเหตุผลในการกระทำบางอย่างที่เป็นประโยชน์หรือ ดี: "เมื่อคุณได้รับเชิญ Shayna และดาเมียนจะผลัดกันกับคุณในสกูตเตอร์ใหม่คุณทำให้พวกเขามีความสุขมันเป็นสิ่งที่เป็นมิตรที่จะทำ."
ใช้หลักสูตรที่มีโอกาสมากมายสำหรับการทำงานของโครงการกลุ่มเกมและเล่นได้อย่างน่าทึ่ง เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้และฝึกทักษะการเจรจาต่อรองของกฎต่อไปนี้และการแก้ปัญหาร่วมกับเพื่อนร่วมงาน นี้จะมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสนับสนุนทักษะทางสังคมใหม่เมื่อครูสร้างทีมงานของโครงการที่มีเด็กจากกลุ่มทางสังคมที่แตกต่างกันที่ได้เกิดในห้องเรียน.
คงปรับตัวเพื่อรองรับการโต้ตอบและใช้เป็นโอกาสในการฝึกและการสนับสนุนความพยายามของเด็กที่จะต้องพิจารณาและตอบสนองต่อ ความต้องการของผู้อื่นและเป้าหมาย. เด็กเป็นสมาชิกในกลุ่มหนึ่งที่สำคัญของการเรียนรู้ในห้องเรียนคือเด็กที่เป็นสมาชิกของกลุ่ม เด็กเรียนสมาชิกในกลุ่มของหลักสูตร แต่พวกเขายังเป็นสมาชิกของกลุ่มอย่างไม่เป็นทางการว่าพวกเขาสร้าง กลุ่มคนเหล่านี้อาจประกอบด้วย playgroups ที่เกิดขึ้นเองในห้องเรียนหรือนอกกลุ่มของเด็กที่ทำงานร่วมกันในโครงการหรือมากกว่ากลุ่มทางสังคมที่ยั่งยืนที่เด็กเล่นอย่างสม่ำเสมอและทำงานร่วมกับคู่ค้าที่ต้องการ สมาชิกของกลุ่มเป็นประสบการณ์ทางสังคมที่สำคัญที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีที่จะมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับคนอื่น ๆ ในบริบทของเป้าหมายร่วมกันและความคาดหวัง. เด็กมีแนวโน้มที่กลุ่มที่มีเพื่อนร่วมงานที่เป็นเหมือนตัวเอง - ผู้ที่มีความสนใจเหมือนกัน; เป็นเพศเดียวกันอายุหรือเชื้อชาติ; หรือแม้กระทั่งมีสำเนียงเดียวกัน เมื่อพวกเขาสร้างกลุ่มที่ยั่งยืนบนพื้นฐานนี้เด็กแสดงความพึงพอใจที่จะอยู่กับสมาชิกในกลุ่มของตัวเองและจะยิ่งมีความโน้มเอียงที่จะไม่รวมคนอื่น ๆ จากการเข้าร่วมในการที่นักวิจัยเรียกการตั้งค่าในกลุ่ม (เถิด 2003; Dunham บารอนและแครี่ 2011 ) นี้เริ่มปรากฏเมื่ออายุ 4 และเพิ่มจนอายุประมาณ 7 หรือ 8 เมื่อการตั้งค่าในกลุ่มอย่างช้า ๆ เริ่มลดลงตามธรรมชาติ (เล็น, Mulvey และ Hitti 2013) ในฐานะที่เป็นร้ายตามที่ครูและผู้ปกครองที่จะหาเด็กเล็กการสร้างกลุ่มสังคมวรรณะนักวิจัยที่ศึกษากลุ่มเหล่านี้ยอมรับว่ามันเป็นกระบวนการที่พัฒนาร่วมกันและไม่ได้ส่อให้เห็นอคติที่ยั่งยืนหรือปัญหาทางสังคม (Bigler และ Liben 2007). แม้ว่ามันจะเป็น โดยทั่วไปการพัฒนาเด็กการตั้งค่าในกลุ่มเด็กก่อนวัยเรียนในตอนปลายและระดับประถมศึกษาตอนต้นให้ครูมีโอกาสที่จะเป็นแนวทางในการคิดของพวกเขาเกี่ยวกับความหลากหลายและการรวม สำหรับเด็กวัยเหล่านี้ครูสามารถทำต่อไปนี้: สนับสนุนทัศนคติรวมผ่านการกระทำของพวกเขา แต่เก็บไว้ในใจว่างานวิจัยเกี่ยวกับความเชื่อของกลุ่มเด็กแสดงให้เห็นว่าครูควรชัดเจนข้อความ nonbiased (Bigler 2013) การแสดงความคิดเห็นเช่น "ทั้งสองคนและผู้หญิงสามารถเป็นนักดับเพลิง" ขยายความเข้าใจของเด็กในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับเพศ. ช่วยให้เด็กเข้าใจ commonalities ส่วนแบ่งคนที่อยู่เหนือความแตกต่างของกลุ่ม "โซเฟียคุณพูดภาษาสเปนและลูคัสพูดภาษาอังกฤษ แต่ด้วยกันคุณเป็นทีมที่บล็อกการสร้างที่ดี." เด็กพัฒนาการตั้งค่าในกลุ่มเพราะพวกเขาคิดว่าความแตกต่างของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับอายุเพศหรือลักษณะอื่น ๆ ที่มีพื้นฐานและเปลี่ยนไม่ได้ (Bigler และ Liben 2007). การตั้งเสียงของเรื่องในเชิงบวกสำหรับความหลากหลายในชุมชนของห้องเรียน การตั้งค่าที่โรงเรียนช่วยให้เด็กคุ้นเคยกับการปฏิบัติความเชื่อ, พื้นหลัง, และการตั้งค่า (เช่นอาหารหรือชุด) ที่มีลักษณะของกลุ่มที่แตกต่างจากพวกเขาเอง. สร้างกลุ่มกิจกรรมที่รวมเด็กทุกวัยที่แตกต่างกัน, เพศ, พื้นหลัง, และชาติพันธุ์ ที่จะช่วยให้พวกเขาค้นพบตัวเองสำหรับลักษณะและความสามารถของพวกเขาร่วมกัน. แตกต่างกันองค์ประกอบของการจับคู่หรือกลุ่มเด็กสำหรับโครงการที่แตกต่างกัน นี้จะช่วยให้เด็กเห็นคุณค่าของคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในวิธีการที่หลากหลายของจุดแข็งให้กับกลุ่ม เด็กที่ไม่เคยได้พูดออกมาดัง ๆ ในกลุ่มที่มีขนาดใหญ่อาจจะเป็นคนหนึ่งที่ค้นพบได้อย่างรวดเร็ววิธีการแก้เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ของปริศนาที่ท้าทายที่ ครูสามารถช่วยจุดนี้. สรุปนำการเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์ลงไปในการศึกษาสังคมช่วยให้ครูที่จะจงใจสนับสนุนทักษะและความรู้ที่จะทำให้การเรียนการเรียนรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่ทำงานร่วมกันในการเรียนรู้ที่น่าตื่นเต้นและความสนุกสนานสำหรับเด็ก นอกจากนี้ยังสร้างสะพานระหว่างความสามารถของเด็กวัยก่อนเรียนที่มีการสร้างความเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นคิดและความรู้สึกและความสามารถของเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่กำลังล้วงลึกลงไปในกระบวนการทางจิตที่ทำให้คนที่ไม่ซ้ำกันและช่วยให้พวกเขาที่จะเป็นผู้เรียนที่มีความทะเยอทะยาน ขณะที่การเรียนรู้ทางสังคมและอารมณ์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการศึกษาทางสังคมในเด็กก่อนวัยเรียนผ่านเกรดพรีเด็กทุกเพศทุกวัยมีการเริ่มต้นที่จะเข้าใจมิติของมนุษย์ที่ซับซ้อนและน่าตื่นเต้นของชีวิตของเราด้วยกัน

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ส่งเสริมพฤติกรรมด้านความรับผิดชอบ
กลยุทธ์ที่ครูใช้สร้างความเข้าใจทางสังคมและอารมณ์ของเด็กให้เกิดการพัฒนาพฤติกรรมความรับผิดชอบของเด็กทุกเพศทุกวัย โดย sensitizing ให้ความสำคัญของการพิจารณาความต้องการของผู้อื่นและความปรารถนา แต่กว่าจะเสร็จ เช่น เด็กเล็กและชั้นประถมศึกษาปีที่เด็ก ครูสามารถทำต่อไปนี้ :
ที่เกี่ยวข้องกับเด็กในการสร้างกฎและความคาดหวังที่จะนำพฤติกรรม ครูอาจจะถามคนสิ่งที่พวกเขาคิดว่าพฤติกรรมยุติธรรมและคู่มือการอภิปรายเพื่อพิจารณาบุคคล ตลอดจนความต้องการของกลุ่ม
รูปแบบพฤติกรรมด้านความรับผิดชอบและเน้นอินสแตนซ์เมื่อลูกทำตัวดีๆต่อกันและกัน ในแต่ละกรณีให้เด็กด้วยเหตุผล การกระทำบางอย่างที่เป็นประโยชน์ หรือดี" เมื่อคุณได้รับเชิญ shayna และเดเมี่ยนผลัดกับคุณบนสกูตเตอร์ใหม่ คุณทำให้พวกเขามีความสุข มันเป็นสิ่งที่เพื่อนควรจะทำ ! "
ใช้หลักสูตรที่มีโอกาสมากมายสำหรับงานโครงการ กลุ่ม เกม และเล่นละครเพื่อให้เด็กได้เรียนรู้และฝึกทักษะในการเจรจาต่อรอง ตามกฎ และแก้ไขปัญหาร่วมกับเพื่อน ๆนี้จะมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการส่งเสริมทักษะทางสังคมใหม่เมื่อครูโครงการสร้างทีมที่มีเด็กจากกลุ่มสังคมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียน
ยังคงปรับตัวเพื่อรองรับการโต้ตอบและใช้เป็นโอกาสในการโค้ชและสนับสนุนเด็กพยายามที่จะพิจารณา และตอบสนองต่อความต้องการของผู้อื่น และเป้าหมาย

เด็ก สมาชิกกลุ่มด้านหนึ่งที่สำคัญของการเรียนก็คือ เด็กที่เป็นสมาชิกของกลุ่ม เด็ก คือ สมาชิก กลุ่มเรียนแน่นอน แต่พวกเขายังเป็นสมาชิกของกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ ที่พวกเขาสร้าง กลุ่มเหล่านี้สามารถประกอบด้วยธรรมชาติ playgroups ในห้องเรียนหรือนอกกลุ่มของเด็กทำงานร่วมกันในโครงการหรือมากกว่าเจาะกลุ่มสังคมที่เด็กอยู่เสมอ เล่น และทำงานร่วมกับคู่ค้าที่ต้องการ สมาชิกกลุ่มเป็นประสบการณ์ทางสังคมที่สำคัญที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการโต้ตอบร่วมกับผู้อื่นในบริบทของเป้าหมายร่วมกัน และความคาดหวัง
เด็กมีแนวโน้มที่จะมีกลุ่มเพื่อนที่ชอบตัวเองที่มีความสนใจเดียวกัน เป็นเหมือนกัน เพศ อายุหรือเชื้อชาติ หรือแม้แต่มีสำเนียงเดียวกัน เมื่อพวกเขาสร้างเจาะกลุ่ม บนพื้นฐานนี้ เด็กแสดงความต้องการให้กับสมาชิกในกลุ่มของตนเอง และแม้แนวโน้มที่จะไม่รวมคนอื่น ๆจากการเข้าร่วมใน ซึ่งนักวิจัยเรียกตามกลุ่ม ( บู๊ด 2003 ; ดันแฮมบารอน & Carey 2011 ) นี้จะเริ่มปรากฏเมื่ออายุ 4 และเพิ่มจนอายุประมาณ 7 หรือ 8เวลาในการตั้งค่ากลุ่มค่อยๆเริ่มลดลงตามธรรมชาติ ( เป็นเงินเป็นทองมัลวีย์ , & , hitti 2013 ) เป็น upsetting เป็นครูและผู้ปกครองเพื่อค้นหาเด็กสร้างกลุ่มสังคมวรรณะ นักวิจัยที่ศึกษากลุ่มนี้ยอมรับว่ามันเป็นการทั่วไป กระบวนการพัฒนา และไม่ส่อให้เห็นอคติ หรือปัญหาของสังคมยั่งยืน ( ไบเกอเลอร์&
ลีเบิ่น 2007 )