Capsaicin (C18H27NO3) is an alkaloi

Capsaicin (C18H27NO3) is an alkaloid compound believed to be found only in peppers. It is responsible of their characteristic hot taste or pungency. The level of hotness depends on the concentration of capsaicin in the fruit and is variable between species, among varieties within species, among plants within varieties, among fruits of the same plant, and among different parts of the same fruit. C. chinense species is traditionally reported to contain the hottest cultivars (Canton-Flick et al., 2008). The placenta tissues and seeds of Habanero pepper (C. chinense) are reported to contain most of the capsaicin with 62 and 37%, respectively (González et al., 2004). Sweet pepper has no hot taste as capsaicin is controlled by a single dominant gene and this pepper is recessive for this gene. Capsaicin content is traditionally measured by organoleptic tests involving preferably a panel of nonaddicted consumers. Today, high-performance liquid chromatography (HPLC) and enzyme imunoassay (EIA) tests are used to more precisely measure capsaicin content (Guthrie et al., 2004; Canton-Flick et al., 2008). Capsaicin benefits include anti-carcinogenic (American Association for Cancer Research, 2009), anti-oxidant, anti-mutagenic, immunosuppressive, hypocholesterolaemic, and bacterial growth inhibition effects (Grubben and El Tahir, 2004). In traditional medicine, chili pepper is used to ease digestion, stimulate the gut, combat constipation, and relieve pain. Capsaicin may have also a potential role in the development of pain-killing agents (Patwardhan et al., 2010).


Peppers are also good sources of nutrients - Vitamins A, C, K, and B6, calcium, iron, zinc, and fiber. The nutrient and other phytochemical composition of peppers vary with color and/or maturity stage (Deepa et al., 2007). Given the wide variability in capsaicin and nutrient content of peppers (Bouchelta et al., 2005). The efficacy of these toxic compounds may be enhanced by combining chili pepper extracts with extracts from other plants such as cashew nutshell and garlic bulb to create a synergistic effect between their respective toxic compounds (Oparaeke et al., 2005). Worth mentioning is that chili extracts have been used by some authors in small quantity (2% compared with 10% for other botanical species) perhaps due to its potential phytotoxicity. Yepsen (1976) suggested a rate of only two teaspoonfuls per 4 L of water. Adding a small level of soap to a solution of PBI may help it adhere to the plant upon spraying. Advantages of using chili pepper extract in pest control in West Africa encompass availability and affordability in most local markets, environmental safety, safety on human health, and ease of use. However, more research is needed before the commercial use of chili extracts as bio-pesticides can be feasible. Such studies should focus on the development of synergistic combinations of PBIs with chili extracts, identification of susceptible insects, and quantification of the toxicity levels, and efficient spray time and frequency, etc.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

แคปไซซิน (C18H27NO3) จะมีอัลคาลอยผสมจะพบในพริก รับผิดชอบของรสชาติร้อนลักษณะหรือ pungency ของพวกเขา ระดับของ hotness ขึ้นกับความเข้มข้นของแคปไซซินในผลไม้ และตัวแปรระหว่างพันธุ์ พันธุ์ภายในสายพันธุ์ ใน หมู่พืชภายในพันธุ์ หมู่ผลไม้ของพืชเดียวกัน และ ในส่วนต่าง ๆ ของผลไม้เหมือนกัน ประเพณีมีรายงาน C. chinense สายพันธุ์มีพันธุ์ร้อนแรงที่สุด (Canton ตวัด et al. 2008) เนื้อเยื่อรกและเมล็ดของพริก Habanero (C. chinense) รายงานประกอบด้วยส่วนใหญ่ของแคปไซซิน 62 และ 37% ตามลำดับ (González et al. 2004) พริกหวานมีรสไม่ร้อนแคปไซซินจะถูกควบคุม โดยยีนเด่นตัวเดียว และพริกนี้เป็น recessive สำหรับยีนนี้ ประเพณีมีวัดเนื้อหาแคปไซซิน โดยการทดสอบ organoleptic ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งแผงของผู้บริโภค nonaddicted วันนี้ ประสิทธิภาพของเหลว chromatography (HPLC) และเอนไซม์ imunoassay (EIA) ทดสอบใช้วัดเนื้อหาแคปไซซิน (Guthrie et al. 2004 ได้แม่นยำมากขึ้น Canton-Flick et al. 2008) ประโยชน์แคปไซซินรวมถึงป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง (อเมริกันสมาคมวิจัยโรคมะเร็ง 2009), สารต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้าน mutagenic, immunosuppressive, hypocholesterolaemic และผลยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย (Grubben และ El หฺมานฏอฮิร 2004) ในยาแผนโบราณ พริกถูกใช้เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยกระตุ้นลำไส้ ท้องผูกต่อสู้ และบรรเทาอาการปวด แคปไซซินได้ยังบทบาทศักยภาพในการพัฒนาตัวแทนความเจ็บปวดฆ่า (Patwardhan et al. 2010) พริกยังเป็นแหล่งดีของสารอาหาร - วิตามิน A, C, K และบี 6 แคลเซียม เหล็ก สังกะสี และไฟเบอร์ การสารอาหารและองค์ประกอบอื่น ๆ สารพฤกษเคมีของพริกแตกต่างกันกับสีหรือครบกำหนดระยะ (Deepa et al. 2007) รับความแปรปรวนกว้างในแคปไซซินและปริมาณสารอาหารของพริก (Bouchelta et al. 2005) ประสิทธิภาพของสารพิษเหล่านี้อาจถูกปรับปรุง โดยการรวมสารสกัดจากพริกสารสกัดจากพืชอื่น ๆ เช่นมะม่วงหิมพานต์เนื้อหาสรุปและกระเทียมหลอดสร้างฤทธิ์ระหว่างของสารพิษนั้น ๆ (Oparaeke et al. 2005) มูลค่าการกล่าวขวัญเป็นพริกที่ สารสกัดใช้ผู้เขียนบางคนในปริมาณขนาดเล็ก (2% เมื่อเทียบกับ 10% สำหรับสายพันธุ์ทางพฤกษศาสตร์อื่น ๆ) อาจเนื่องจาก phytotoxicity ที่อาจเกิดขึ้น Yepsen (1976) แนะนำอัตราสองเท่า teaspoonfuls ต่อน้ำ 4 ลิตร เพิ่มระดับเล็กสบู่ละลาย PBI อาจช่วยให้มันยึดเกาะพืชเมื่อฉีดพ่น ข้อดีของการใช้สารสกัดจากพริกในการควบคุมศัตรูพืชในแอฟริกาตะวันตกครอบคลุมความพร้อมและความในสุดตลาด สิ่งแวดล้อมความปลอดภัย ความปลอดภัยในสุขภาพของมนุษย์ และใช้งานง่าย อย่างไรก็ตาม การวิจัยเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็นก่อนการใช้งานเชิงพาณิชย์ของสารสกัดจากพริกเป็นยาฆ่าแมลงชีวภาพสามารถกระทำ การศึกษาดังกล่าวควรเน้นการพัฒนาร่วมกันทำงานร่วมกันของเบสด้วยสารสกัดจากพริก รหัสของแมลงที่อ่อนแอ และด้าน ระดับความเป็นพิษ และสเปรย์ประหยัดเวลา และความถี่ ฯลฯ

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แคปไซซิ (C18H27NO3) เป็นสารอัลคาลอยเชื่อว่าจะพบได้เฉพาะในพริก มันเป็นความรับผิดชอบของรสชาติร้อนลักษณะหรือความรุนแรง ระดับของความรุนแรงขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของ capsaicin ในผลไม้และเป็นตัวแปรระหว่างสายพันธุ์ระหว่างพันธุ์ที่อยู่ในสปีชีส์ในกลุ่มพืชที่อยู่ในสายพันธุ์ในหมู่ผลไม้ของโรงงานเดียวกันและในส่วนต่าง ๆ ของผลไม้ที่เหมือนกัน C. chinense สายพันธุ์ที่มีรายงานประเพณีที่มีสายพันธุ์ที่ร้อนแรงที่สุด (Canton-สะบัด et al., 2008) เนื้อเยื่อรกและเมล็ดของพริก Habanero (C. chinense) จะมีการรายงานว่าจะมีมากที่สุดของ capsaicin ที่มี 62 และ 37% ตามลำดับ (González et al., 2004) พริกหวานไม่มีรสร้อนเป็น capsaicin ถูกควบคุมโดยยีนเด่นเดียวและพริกไทยนี้ถอยยีนนี้ เนื้อหาแคปไซซิเป็นวัดแบบดั้งเดิมโดยการทดสอบทางประสาทสัมผัสโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับแผงของผู้บริโภค nonaddicted วันนี้มีประสิทธิภาพสูงของเหลว chromatography (HPLC) และเอนไซม์ imunoassay (EIA) การทดสอบจะใช้ในการวัดความแม่นยำมากขึ้นเนื้อหา capsaicin (Guthrie et al, 2004;.. แคนตัน-สะบัด et al, 2008) รวมถึงผลประโยชน์ที่แคปไซซิป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง (สมาคมอเมริกันเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง 2009), สารต้านอนุมูลอิสระป้องกันการก่อกลายพันธุ์, ภูมิคุ้มกัน hypocholesterolaemic และผลกระทบการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย (Grubben และเอลอับด์, 2004) ในยาแผนโบราณ, พริกถูกนำมาใช้เพื่อความสะดวกในการย่อยอาหารกระตุ้นลำไส้ต่อสู้กับอาการท้องผูกและบรรเทาอาการปวด แคปไซซิอาจจะยังมีบทบาทที่มีศักยภาพในการพัฒนาของตัวแทนความเจ็บปวดฆ่า (Patwardhan et al, 2010).. พริกยังเป็นแหล่งที่ดีของสารอาหาร - วิตามิน A, C, K, และ B6, แคลเซียม, เหล็ก, สังกะสีและเส้นใย . สารอาหารและสารพฤกษเคมีองค์ประกอบอื่น ๆ ของพริกที่มีสีแตกต่างกันไปและ / หรือขั้นตอนครบกําหนด (Deepa et al., 2007) ให้ความแปรปรวนทั้งใน capsaicin และปริมาณสารอาหารของพริก (Bouchelta et al., 2005) ประสิทธิภาพของสารพิษเหล่านี้อาจได้รับการปรับปรุงโดยการรวมสารสกัดจากพริกด้วยสารสกัดจากพืชอื่น ๆ เช่นสั้นมะม่วงหิมพานต์และหลอดกระเทียมในการสร้างผลเสริมฤทธิ์กันระหว่างสารพิษของพวกเขาที่เกี่ยวข้อง (Oparaeke et al., 2005) มูลค่าการกล่าวขวัญว่าเป็นสารสกัดจากพริกได้ถูกใช้โดยผู้เขียนบางอย่างในปริมาณขนาดเล็ก (2% เมื่อเทียบกับ 10% สำหรับการขยายพันธุ์พฤกษศาสตร์อื่น ๆ ) อาจจะเป็นเพราะพิษที่อาจเกิดขึ้น Yepsen (1976) ชี้ให้เห็นอัตราการเพียงสองช้อนชาต่อ 4 ลิตรน้ำ เพิ่มระดับเล็ก ๆ ของสบู่เพื่อแก้ปัญหาของ PBI อาจช่วยให้มันเป็นไปตามโรงงานเมื่อฉีดพ่น ข้อดีของการใช้สารสกัดจากพริกในการควบคุมศัตรูพืชในแอฟริกาตะวันตกครอบคลุมความพร้อมใช้งานและราคาในตลาดท้องถิ่นส่วนใหญ่ความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์และความสะดวกในการใช้ อย่างไรก็ตามการวิจัยเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็นก่อนการใช้งานในเชิงพาณิชย์ของสารสกัดจากพริกเป็นสารกำจัดศัตรูพืชชีวภาพสามารถเป็นไปได้ การศึกษาดังกล่าวควรให้ความสำคัญในการพัฒนาของการผสมกันอย่างลงตัวของสารสกัดจาก PBIs กับพริกบัตรประจำตัวของแมลงที่อ่อนแอและการหาปริมาณของระดับความเป็นพิษและเวลาที่สเปรย์ที่มีประสิทธิภาพและความถี่ ฯลฯ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

แคปไซซิน ( c18h27no3 ) เป็นสารประกอบอัลคาลอยด์ที่เชื่อว่าจะพบในพริก มันเป็นความรับผิดชอบของรสเผ็ดของลักษณะ หรือความฉุน ระดับความเผ็ดขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของแคปไซซินในผลไม้และตัวแปรระหว่างสายพันธุ์ระหว่างพันธุ์ภายในชนิดของพืชในพันธุ์ของผลไม้ของต้นเดียวกันและระหว่างส่วนต่าง ๆของผลไม้เหมือนกัน C . chinense ชนิดเป็นประเพณีที่รายงานประกอบด้วยพันธุ์สุด ( Canton สะบัด et al . , 2008 ) รกและเนื้อเยื่อเมล็ดของ Habanero พริกไทย ( C . chinense ) มีรายงานประกอบด้วยส่วนใหญ่ของแคพไซซินกับ 62 และ 37% ตามลำดับ ( gonz . kgm lez et al . , 2004 ) พริกหวาน ไม่มีร้อน รสชาติพอเหมาะที่ถูกควบคุมโดยยีนเดี่ยว เด่น และพริกนี่ด้อยยีนนี้ แคปไซซินเป็นวัดโดยการทดสอบทางประสาทสัมผัสโดยเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกุญแจแผงของ nonaddicted ผู้บริโภค วันนี้ โครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง ( HPLC ) และเอนไซม์ imunoassay ( EIA ) แบบทดสอบที่ใช้วัดปริมาณแคปไซซินมากขึ้นแน่นอน ( Guthrie et al . , 2004 ; Canton สะบัด et al . , 2008 ) ประโยชน์ สารแคปไซซิน รวมถึงต่อต้านสารก่อมะเร็ง ( สมาคมอเมริกันเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง , 2009 ) , ต่อต้านอนุมูลอิสระ , ต่อต้านสารก่อกลายพันธุ์ทั้งหมด hypocholesterolaemic , และแบคทีเรียผลยับยั้งการเจริญเติบโต ( grubben EL และรุ่น , 2004 ) ในยา พริกจะใช้เพื่อความสะดวกในการย่อย กระตุ้นลำไส้ ท้องผูก การต่อสู้ และบรรเทาอาการปวด แคปไซซินอาจยังมีบทบาท ศักยภาพในการพัฒนาของการฆ่าปวดตัวแทน ( patwardhan et al . , 2010 )พริกยังเป็นแหล่งที่ดีของสารอาหาร - วิตามิน A , C , K , และ B6 , แคลเซียม , เหล็ก , สังกะสี , และเส้นใย สารอาหารและองค์ประกอบทางพฤกษเคมีอื่น ๆของพริกแตกต่างกันกับสีและ / หรือวุฒิภาวะเวที ( ดีปา et al . , 2007 ) ได้รับความกว้างในแคปไซซินและสารอาหารของพริก ( bouchelta et al . , 2005 ) ประสิทธิภาพของสารพิษเหล่านี้อาจถูกเพิ่มโดยการรวมสารสกัดจากพริก ด้วยสารสกัดจากพืชอื่นๆ เช่น มะม่วงหิมพานต์ และกระเทียมสั้นเพื่อสร้างผลร่วมกันระหว่างสารพิษของตน ( oparaeke et al . , 2005 ) เป็นมูลค่าการกล่าวขวัญที่สกัดจากพริกได้ถูกใช้โดยผู้เขียนบางรายในปริมาณเล็กน้อย ( ร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับ 10% สำหรับชนิดอื่น ๆทาง ) อาจจะเนื่องจากมีความเป็นพิษของมันที่มีศักยภาพ yepsen ( 1976 ) ได้เสนออัตราเพียง 2 ช้อนชา ต่อน้ำ 4 ลิตร . การเพิ่มระดับเล็กสบู่เพื่อแก้ปัญหาของ pbi อาจช่วยให้มันยึดติดกับพืช เมื่อฉีดพ่น . ข้อดีของการใช้สารสกัดจากพริกในการควบคุมศัตรูพืชในแอฟริกาตะวันตกความว่างและ affordability ในตลาดท้องถิ่น ส่วนใหญ่ความปลอดภัยสิ่งแวดล้อม เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของมนุษย์ และใช้งานง่าย อย่างไรก็ตาม การวิจัยเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่จะใช้ในเชิงพาณิชย์พริกสกัดเป็นยาฆ่าแมลงชีวภาพ สามารถเป็นไปได้ การศึกษาดังกล่าวควรมุ่งเน้นการพัฒนาของชุดค่าผสมที่ pbis กับพริกสกัด การจำแนกชนิดของแมลงที่อ่อนแอ และปริมาณของระดับความเป็นพิษ และเวลาพ่นสีมีประสิทธิภาพและความถี่ เป็นต้น