โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic kidney disease: CKD) เป็นโรคไม่ติดต่อ(Non-communicable disease: NCD) ที่นับเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกทั้งในประเทศพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยแต่อาจรวมถึงครอบครัวที่ต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้การดูแลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากรายงานของสมาคมโรคไตนานาชาติ (International Society of Nephrology [ISN], 2015) พบว่าอุบัติการณ์ของโรคไตวายเรื้อรังและผู้ป่วยไตวายเรื้อรังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก นอกจากนี้ยังพบว่าประชากร50 ล้านคนทั่วโลกมีอัตราการเจ็บป่วยและอัตราตายก่อนวัยอันควร และ คาดว่าในอีก 10 ปีหรือปี 2568 โรคไตวายเรื้อรังจะเป็นสาเหตุให้ประชากรโลกเสียชีวิตมากถึง 36 ล้านคนต่อปี สำหรับประเทศไทยวิกฤตปัญหาโรคไตวายเรื้อรัง พบว่าอุบัติการณ์ของการเกิดโรคไตวายเรื้อรังในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจาก 181.2 คนต่อล้านประชากรในปี 2553 เป็น 227.42 คนต่อล้านประชากรในปี 2554 และมีจำนวนผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังเพิ่มจำนวนมากขึ้นจาก 639.3 คนต่อล้านประชากรในปี 2553 เป็น749.7คนต่อล้านประชากรในปี 2554 (Thailand Renal Replacement, 2012) อีกทั้งยังพบว่ากลุ่มผู้ป่วยโรคไตเป็นสาเหตุของการตายในลำดับที่ 6 จากจำนวนและอัตราตายต่อแสนประชากร (สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์, 2554)
จากจำนวนผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่เป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการเพิ่มระดับที่รุนแรงขึ้นของโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงโดยข้อมูลสถิติของสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยปี 2555 พบว่า ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานก่อนอายุ 20 ปีจะมีอาการไตวายได้มากถึงร้อยละ45-50 นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 จะทำให้เป็นโรคไตวายได้ร้อยละ6 สอดคล้องกับการศึกษาของ อรรถพงษ์ วงษ์วิวัฒน์ (2550) ที่พบว่าสาเหตุของโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมาจากการเป็นโรคเบาหวานร้อยละ70 รองลงมาได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคไตอักเสบเรื้อรังและโรคนิ่วในไต ตามลำดับ จะเห็นได้ว่าจากสถิติของอัตราการเจ็บป่วยที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นของผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ส่งผลกระทบให้ประเทศชาติต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสำหรับการดูแลเยียวยาผู้ป่วยแต่ละราย