8-5) plus the number of standing le

8-5) plus the number of standing leaves. The age of the shoot in units of number of
plastochrone intervals, can be converted into chronological age by multiplying it by the
average plastochrone interval, in days, which can be derived either from leaf marking
techniques or using reconstructive techniques (see below). This estimate has an inherent
error for plants under one year of age. For mono-meristematic leaf replacing species, shoot
age cannot be determined.
2. Estimation of horizontal rhizome elongation and rhizome plastochrone interval for dimeristematic
species:
Carefully excavate 10 to 20 rhizome fragments as long as possible taking care to avoid
rupture of the rhizomes and attached shoots. If this is impossible due to the presence of a
dense rhizome network, collect 3 – 6 cores (>15 cm diameter), depending on shoot density
and sort out, after washing off the sediment, the rhizome fragments with 2 or more
connected shoots. For each rhizome fragment, calculate the age of the different shoots
present along the rhizome, as outlined above, and the length and number of horizontal
rhizome segments in between them. Use linear regression analysis to fit the equations:

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

8-5) บวกกับจำนวนใบยืน อายุของการถ่ายภาพในหน่วยของจำนวนช่วง plastochrone สามารถแปลงเป็นอายุ chronological คูณโดยช่วง plastochrone เฉลี่ย จำนวนวัน ซึ่งอาจจะมาจากการทำเครื่องหมายใบเทคนิคหรือการใช้เทคนิคศัลยกรรมตกแต่ง (ดูด้านล่าง) ประมาณนี้ได้เป็นแต่กำเนิดข้อผิดพลาดสำหรับพืชอายุต่ำกว่า 1 ปี ใบขาวดำ meristematic แทนพันธุ์ ยิงไม่สามารถกำหนดอายุ2. ประเมิน elongation แนวเหง้าและเหง้า plastochrone ช่วงสำหรับ dimeristematicสายพันธุ์:Excavate ชิ้นส่วนเหง้า 10 20 นานที่สุดดูแลเพื่อหลีกเลี่ยงอย่างระมัดระวังการแตกเหง้าและถ่ายภาพแนบ ถ้าเป็นไปไม่ได้เนื่องจากสถานะของการเครือข่ายหนาแน่นเหง้า แกนเก็บ 3 – 6 (> 15 ซม.เส้นผ่าศูนย์กลาง), ขึ้นต่อในความหนาแน่นยิงและเรียงลำดับ คาวออกจากตะกอน ชิ้นส่วนของเหง้า ด้วย 2 หรือมากกว่าถ่ายภาพเชื่อมต่อ ส่วนแต่ละเหง้า คำนวณอายุถ่ายภาพแตกต่างกันปัจจุบันตามเหง้า เป็นเค้าร่างด้านบน และความยาว และจำนวนของแนวนอนส่วนเหง้าระหว่างพวกเขา การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นตรงกับสมการ:

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

8-5) บวกกับจำนวนของการยืนใบ อายุของการถ่ายในหน่วยของจำนวนของ
ช่วงเวลา plastochrone, สามารถแปลงเป็นอายุตามลำดับโดยคูณด้วย
ช่วง plastochrone เฉลี่ยในวันที่จะได้รับทั้งจากการทำเครื่องหมายใบ
เทคนิคหรือการใช้เทคนิคคราฟท์ (ดูด้านล่าง) ประมาณการนี้มีธรรมชาติ
ข้อผิดพลาดสำหรับพืชภายใต้หนึ่งปีของอายุ สำหรับใบขาวดำเจริญเปลี่ยนชนิดยิง
อายุยังไม่สามารถระบุ.
2 การประมาณค่าการยืดตัวเหง้าแนวนอนและเหง้าช่วง plastochrone สำหรับ dimeristematic
สายพันธุ์:
ขุดอย่างระมัดระวัง 10-20 ชิ้นส่วนเหง้าตราบเท่าที่เป็นไปได้การดูแลเพื่อหลีกเลี่ยง
การแตกของเหง้าและยอดที่แนบมา ถ้าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เพราะการปรากฏตัวของ
เครือข่ายเหง้าหนาแน่นเก็บ 3 - 6 แกน (> 15 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของการถ่ายภาพ
และการจัดเรียงออกหลังจากที่ล้างออกตะกอนเศษเหง้าที่มี 2 หรือมากกว่า
ยอดที่เกี่ยวโยงกัน สำหรับส่วนเหง้าแต่ละคำนวณอายุของหน่อที่แตกต่างกัน
ในปัจจุบันพร้อมเหง้าที่ระบุไว้ข้างต้นและระยะเวลาและจำนวนแนวนอน
ส่วนเหง้าในระหว่างพวกเขา ใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นเพื่อให้พอดีกับสมการ:

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

8-5 ) บวกกับจำนวนที่ยืนออก อายุของการยิงในหน่วยของจำนวน
plastochrone ครั้ง สามารถแปลงเป็นลำดับอายุ โดยการคูณด้วย
plastochrone เฉลี่ยในช่วงวัน ที่สามารถจะได้มาจากใบเครื่องหมาย
เทคนิคหรือการใช้เทคนิคเสริมสวย ( ดูด้านล่าง ) ประมาณนี้มีข้อผิดพลาดโดยธรรมชาติ
สำหรับพืชภายใต้หนึ่งปีของอายุสำหรับ Mono meristematic ใบแทนชนิดยิงไม่ได้กำหนดอายุ
.
2 การประมาณค่าความยาวเหง้าแนวนอนและเหง้า plastochrone ช่วง dimeristematic

อย่างชนิดขุด 10 ถึง 20 เศษเหง้ายาวเท่าที่เป็นไปได้การดูแลเพื่อหลีกเลี่ยง
การแตกร้าวของเหง้าและแนบใบ ถ้าเป็นไปไม่ได้เนื่องจากการแสดงของเหง้า
เครือข่ายหนาแน่นเก็บ 3 – 6 แกน ( 15 ซม. ) ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นและยิง
เรียงออก หลังล้างออก เศษตะกอน เหง้ามี 2 หรือมากกว่า
ยิงต่อได้ สำหรับแต่ละเหง้า ชิ้น , คำนวณอายุของใบแตกต่างกัน
ปัจจุบันตามเหง้า , ตามที่ระบุไว้ข้างต้น และความยาว และจำนวนของกลุ่ม
เหง้าแนวนอนระหว่างพวกเขาใช้ในการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นเพื่อให้พอดีกับสมการ :