กีฬายกน้ำหนัก : Weightlifting
ความเป็นมาของกีฬายกน้ำหนัก
กีฬายกน้ำหนัก ได้ถูกพัฒนามาเป็นลำดับ โดยธรรมชาติของมนุษย์เรามักจะแสดงให้คนอื่นๆ เห็นว่าตัวเองเป็นคนทีมีร่างกายแข็งแรงกว่าคนอื่นๆ จนมีการประลองการยกสิ่งของต่างๆ เช่น ยกก้อนหิน ยกเหล็ก ยกเสาไม้ เป็นต้น ในช่วงกลางคริสศตวรรษที่ 18 มีกีฬาหลายชนิดเกิดขึ้น รวมทั้งกีฬายกน้ำหนักที่มีการกำหนดกฎกติกา เพื่อให้การแข่งขันเกิดความยุติธรรมและสนุกสนานยิ่งขึ้น มีการแพร่ขยายการเล่นไปตามประเทศต่างๆในทวีปยุโรป และมีการจัดการแข่งขันยกน้ำหนักชิงชนะเลิศแห่งโลกเป็นครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน ใน ค.ศ. 1891 ครั้งสุดท้ายมีการจัดแข่งขันชิงชนะเลิศแห่งโลก ครั้งที่ 73 (ชาย) ครั้งที่ 18 (หญิง) ณ เมืองแวนคูเวอร์ แคนาดา เมื่อ ค.ศ. 2003 จะเห็นว่ากีฬายกน้ำหนักเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ที่นิยมเล่นและแข่งขันมามากกว่า 100 ปี ในประเทศไทย มีการเล่นกีฬายกน้ำหนักกว่า 50 ปีแล้ว มีการบันทึกเป็นทางการว่า สมาคมยกน้ำหนักฯ ได้ก่อตั้งมา เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2501 มีการจัดการแข่งขันทั้งภายในประเทศและต่างประเทศจนทำให้นักกีฬายกน้ำหนักของไทยมีความสามารถติด อันดับแชมเปี้ยนโลกหลายคน เช่น 1. ชัยยะ สุขจินดา 2.สง่า วังศิริ 3.วาสนา ปุจฉาการ 4.เกษราภรณ์ สุดา 5.ปวีณา ทองสุก 6.อุดมพร พลศักดิ์ 7.จันทร์พิมพ์ กันทะเตียน 8.อารีย์ วิรัฐถาวร
วิธีการจัดการแข่งขัน
กีฬายกน้ำหนัก จะมีการยกแข่งขันแยกเป็น 2 ท่า คือ ท่าสแนทซ์ และทำคลีนแอนด์เจอร์ด เมื่อเริ่มแข่งขัน จะทำการแข่งขันท่าสแนทซ์ก่อน นักกีฬาแต่ละคนจะมีสิทธิ์ยกไม่เกิน 3 ครั้ง เสร็จแล้วจะมีเวลาพัก 5 นาที จึงทำการแข่งขันท่าคลีนแอนด์เจอร์ดต่ออีกคนละไม่เกิน 3 ครั้งเป็นการเสร็จสิ้นการแข่งขัน เมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขันแล้ว ให้จัดลำดับที่เพื่อรับรางวัลรวม 3 รายการคือ
- 1. ลำดับที่ 1-2-3 ของท่าสแนทซ์
- 2. ลำดับที่ 1-2-3 ของท่าคลีนแอนด์เจอร์ด
- 3. ลำดับที่ 1-2-3 ของสถิติโอลิมปิกโตเติล
รายการที่ 3 นี้ ไม่มีการแข่งขัน แต่ได้มาจากการเอาสถิติของทั้ง 2 ท่าแรกมารวมกันแล้วจัดลำดับที่ เพื่อได้รับรางวัล
สรุป ดูหรือกเล่นกีฬายกน้ำหนักนอกจากจะสนุกสนานแล้วเสน่ห์ของกีฬานี้อยู่ที่นักกีฬาแข่งขัน 2 ท่า แต่มีสิทธิ์ได้รับรางวัล 3 เหรียญทอง หรือ 3 เหรียญเงิน หรือ 3 เหรียญทองแดง
นักกีฬาที่จะเข้าแข่งขันในรุ่นใด จะต้องมีน้ำหนักมากกว่าพิกัดน้ำหนักของรุ่นที่ต่ำกว่าและไม่เกินกว่าจำนวนน้ำหนักของพิกัดของ รุ่นนั้น เช่น นักกีฬาเข้าแข่งขันในรุ่น 77 กก. ชายจะต้องมีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 69.1 กก. และไม่เกิน 77.0 กก.
การตัดสินกีฬายกน้ำหนัก
1.กำหนดให้มีผู้ตัดสิน 3 คน ทำหน้าที่ให้คำตัดสินภายใต้การควบคุมของ คณะกรรมการควบคุมการแข่งขัน
2.เมื่อนักกีฬายกถึงท่าเสร็จสมบูรณ์ ผู้ตัดสินแต่ละคนจะวินิจฉัยให้คำตัดสินของตนเองอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
- ก. ถ้าเห็นว่าถูกกติกา จะให้สัญญาณไฟ สีขาว
- ข. ถ้าเห็นว่าผิดกติกา จะให้สัญญาณไฟ สีแดง
3. ถ้าผู้ตัดสินคนใด พิจารณาเห็นว่า ขณะนักกีฬากำลังทำการยกได้ทำผิดกติกาให้ตัดสินด้วยสัญญาณไฟสีแดงได้ทันที
4. สรุปคำตัดสิน ให้ใช้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ของผู้ตัดสินทั้ง 3 คน
การจัดลำดับที่ของการแข่งขัน (ผลการแข่งขัน)
เมื่อแข่งขันเสร้จให้จัดลำดับที่ของ ท่าสแนทซ์ ท่าคลีนแอนด์เจอร์ด และสถิติโอลิมปิคโตเติล ตามขั้นตอน ดังนี้
- 1. ผู้ใดยกได้สถิติดีกว่าเป็นผู้ชนะ
- 2. ถ้ายกได้สถิติเท่ากัน ใครน้ำหนักตัวน้อยกว่าเป็นผู้ชนะ
- 3. ถ้าน้ำหนักตัวเท่ากันอีก ให้ดูว่าใครยกสถิติที่เท่ากันได้ก่อนเป็นผู้ชนะ " กีฬายกน้ำหนักไม่มีเสมอครับ "
การยกท่าสแนทซ์ (SNATCH)
ให้นักกีฬาใช้มือทั้ง 2 ข้าง จับคาน (บาร์) แล้วดึงหรือยกขึ้นเป็นจังหวะเดียวให้แขนทั้งสองเหยียดตรงขึ้นเหนือศรีษะ นักกีฬาอาจ จะแยกเท้าหรือย่อเข่าเพื่อการทรงตัวและรับน้ำหนักของบาร์เบลแล้วยืนขึ้นอยู่ในท่านิ่งให้เท้าทั้งสองข้างลำตัวและบาร์เบลอยู่ในแนว ดียวกันซึ่งถือเป็นท่าที่เสร็จสมบูรณ์
ข้อที่ผิดกติกาบ่อยๆ เช่น
- การดึงบาร์เบลจากท่าแขวน คือ ดึงบาร์เบลจากท่าแขวน คือ ดึงบาร์เบลขึ้นมาแล้วหยุดชะงักแล้วดึงต่อ (เป็นแบบ 2 จังหวะ)
- หัวเข่าหรือก้นสัมผัสกับพื้น
- หยุดชะงักระหว่างเหยียดแขน
- ไม่เหยียดแขนสุด เมื่อยกได้สำเร็จ
- วางบาร์เบลลงก่อน ได้รับสัญญาณจากผู้ตัดสิน
- ปล่อยหรือทิ้งบาร์เบลลงด้านหลังของนักกีฬา
- ปล่อยมือจากบาร์เบลขณะที่บาร์เบลอยู่เหนือระดับเอว ฯลฯ
ลำดับการเรียกนักกีฬาขึ้นยก
เพื่อความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ใส่น้ำหนักเหล็ก จึงกำหนดให้ "กรรมการจัดลำดับการยก" ประกาศเรียกนักกีฬาที่ขอน้ำหนักของบาร์ เบล ที่มีน้ำหนักน้อยกว่าคนอื่นๆ ขึ้นยกก่อน เมื่อการแข่งขันดำเนินต่อๆ ไป จะปรากฎว่า น้ำหนักของบาร์เบลบนเวทีจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เรื่อยๆ สรุป คนที่ไม่ค่อยเก่ง ยกได้น้อยจะถูกเรียกขึ้นยกก่อน คนเก่งๆ ยกได้มากๆ จะถูกเรียกขึ้นยกตอนท้ายๆ แต่ละคนจะมีสิทธิ์ได้ยกคนละ 3 ครั้ง ของแต่ละท่า เคยปรากฎบ่อยๆ ว่าคนเก่งๆ ได้ยกเป็น คนสุดท้ายแต่ทำผิดกติกาฟาวล์ทั้ง 3 ครั้ง ก็ไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย
การยกท่าคลีนแอนด์เจอร์ค(CLEAN & JERK) เป็นการยก 2 แบบ รวมอยู่เป็นท่าเดียวกัน
การคลีน ให้นักกีฬาใช้มือทั้งสองข้างจับคาน (บาร์) แล้วดึงหรือยกขึ้นเป็นจังหวะเดียวให้บาร์เบลขึ้นไปพักที่แนวไหล่ แล้วยืนขึ้น อยู่ในท่านิ่งเพื่อทำท่าเจอร์คต่อไป
การเจอร์ค คือการดันบาร์เบลด้วยการเหยียดแขนให้เป็นจังหวะเดียว ให้บาร์เบลขึ้นไปอยู่เหนือศรีษะ นักกีฬาอาจจะย่อเข่าแล้ว สปริงข้อเท้าเหยียดขึ้นเพื่อเป็นแรงส่งการดันบาร์เบล หลังจากนั้นค่อยๆ เก็บเท้าให้อยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัวและบาร์เบล ซึ่งถือเป็นท่าเสร็จสมบูรณ์
ข้อผิดกติกาบ่อยๆ เช่น
- ดึงบาร์เบลจากท่าแขวน
- ขณะคลีนข้อศอกสัมผัสกับเข่าหรือขา
- ขณะคลีนเข่าหรือกันสัมผัสกับพื้น
- จงใจเขย่าหรือสั่นบาร์เบลเพื่อ