Fighting among pigs is a normal beh

Fighting among pigs is a normal behavioural pattern to establish a stable rank order. Enhanced aggressive behaviour in pigs in groups lead to increasing stress and injuries especially in mixing situations used as a common procedure in modern pig production systems. In such systems, it is usually not possible toavoid re-housing with unacquainted conspecifics. Hence, due to the lavish analysis of direct or video observations of the agonistic interactions in such mixing situations, there is a necessity to receive easy measurable and practical indicators for predicting individual agonistic behaviour. Possible indicators are standardised behavioural tests such as the backtest and the human approach test. The backtest was performed twice. In each test, the pigs were laid on their backs and held loosely for one minute (n = 1382).The number of escape attempts (NEA) was recorded. In addition to this test, a human approach test was performed four times with weaned pigs (n = 1318) and once with gilts (n = 272). Here, the stockperson recorded the latency of the pigs to approach and touch the person, i.e. the latency count (LC). The agonisticinteractions were recorded in a video observation period of 17 h while the traits number of fights (NF) andnumber of initiated fights (IF) were recorded in mixtures of weaned pigs (n = 1111), growing pigs (n = 446)and gilts (n = 279). The estimations of phenotypic and genetic correlations between these different traitswere carried out with animal models in bivariate analyses. The IF trait of weaned pigs and NEA wereslightly positively correlated (rg= 0.18). Pigs which initiated more fights after weaning had more escapeattempts in the backtests. However, there were negative genetic correlations between the agonisticinteractions traits NF and IF traits and the NEA backtest trait of growing pigs (rg= −0.14 and rg= −0.28).The genetic relation between the agonistic NF and IF traits of weaned pigs and the human approach test LCtrait of weaned pigs were on a medium level (rg= −0.50 and rg= −0.45). The genetic correlations between IF and NF of growing pigs and gilts and the human approach test LC trait in weaned pigs were lower butalso negatively correlated. Hence, pigs with more NF and IF in mixing had shorter latencies during the human approach tests. Concluding, the back test and the human approach test might be able to predict the agonistic behaviour of pigs in mixing situations. Nevertheless, the reliability of the predictions of the behavioural tests depends on the age of the pigs at mixing and the previous experiences of these animals.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

การต่อสู้ระหว่างสุกรเป็นรูปแบบพฤติกรรมปกติการสร้างใบสั่งยศเสถียร พฤติกรรมก้าวร้าวเพิ่มขึ้นในสุกรในกลุ่มนำไปสู่การเพิ่มความเครียดและอาการบาดเจ็บโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ใช้เป็นขั้นตอนทั่วไปในระบบการผลิตทันสมัยหมูผสม ใน มันมักจะไม่ได้ toavoid ได้อยู่อาศัยอีก ด้วย unacquainted conspecifics จึง เนื่องจากการวิเคราะห์การฟุ่มเฟือยของการสังเกตโดยตรง หรือแสดงผลของการโต้ตอบในสถานการณ์เช่นนี้ผสม agonistic มีความจำเป็นเพื่อรับตัวชี้วัดที่ง่ายในการวัด และการปฏิบัติสำหรับทำนายพฤติกรรม agonistic ละ ตัวชี้วัดที่ได้มีมาตรฐานพฤติกรรมทดสอบเช่นการ backtest และทดสอบวิธีการมนุษย์ มีดำเนินการ backtest ครั้ง ในแต่ละการทดสอบ หมูวางบนหลัง และจัดหลวม ๆ สำหรับหนึ่งนาที (n = 1382) มีบันทึกจำนวนของการพยายามหนี (ดิม) นอกจากนี้การทดสอบ การทดสอบวิธีการที่มนุษย์ทำสี่ครั้งกับสุกรหย่านม (n = 1318) และเมื่อ มีแม่สุกร (n = 272) ที่นี่ stockperson การบันทึกเวลาแฝงของสุกร และสัมผัสคน เช่นจำนวนเวลาแฝง (LC) Agonisticinteractions การบันทึกในระยะสังเกตวิดีโอของ h 17 ขณะต่อสู้ (NF) andnumber ต่อสู้ฝ่ายจำนวนนิสัย (ถ้า) บันทึกในส่วนผสมของสุกรหย่านม (n = 1111), สุกรเจริญเติบโต (n = 446) และแม่สุกร (n = 279) การประเมินของไทป์ และพันธุกรรมความสัมพันธ์ระหว่าง traitswere เหล่านี้แตกต่างกันที่ดำเนินการออกแบบสัตว์ใน bivariate วิเคราะห์ ลักษณะถ้าสุกรหย่านมและ wereslightly ว่าความสัมพันธ์เชิงบวก (rg = 0.18) สุกรที่เริ่มต่อสู้เพิ่มเติมหลังจากหย่านมมี escapeattempts เพิ่มเติมในการ backtests อย่างไรก็ตาม มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมลบระหว่าง NF และถ้าลักษณะนิสัยของ agonisticinteractions และลักษณะ backtest ว่าเติบโตหมู (rg = −0.14 และ rg = −0.28) ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมระหว่าง agonistic NF และถ้าลักษณะของสุกรที่หย่านมและทดสอบวิธีการมนุษย์ LCtrait สุกรหย่านมอยู่ในระดับปานกลาง (rg = −0.50 และ rg = −0.45) ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมระหว่าง IF และ NF เติบโตสุกร และแม่สุกร และลักษณะทดสอบ LC วิธีมนุษย์ในสุกรหย่านมมี butalso ต่ำส่งสัมพันธ์ ดังนั้น สุกร NF และถ้าผสมมีเวลาสั้นในระหว่างการทดสอบวิธีการมนุษย์ สรุป ทดสอบกลับและการทดสอบวิธีการที่มนุษย์อาจสามารถทำนายพฤติกรรม agonistic สุกรผสมสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถือของการคาดคะเนการทดสอบพฤติกรรมขึ้นอยู่กับอายุของสุกรที่ผสมและประสบการณ์ก่อนหน้าของสัตว์เหล่านี้

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

การต่อสู้ในหมู่สุกรเป็นรูปแบบพฤติกรรมปกติท​​ี่จะจัดตั้งเป็นลำดับที่มีเสถียรภาพ ปรับปรุงพฤติกรรมก้าวร้าวในสุกรในกลุ่มนำไปสู่​​ความเครียดที่เพิ่มขึ้นและได้รับบาดเจ็บโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ผสมใช้เป็นขั้นตอนทั่วไปในระบบการผลิตสุกรที่ทันสมัย ในระบบดังกล่าวก็มักจะเป็นไปไม่ได้ toavoid ใหม่ที่อยู่อาศัยกับ conspecifics คุ้นเคย ดังนั้นเนื่องจากการวิเคราะห์ฟุ่มเฟือยของการสังเกตโดยตรงหรือวิดีโอของปฏิสัมพันธ์ agonistic ผสมในสถานการณ์ดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะได้รับตัวชี้วัดที่วัดได้ง่ายและการปฏิบัติในการทำนายพฤติกรรมของแต่ละบุคคล agonistic ตัวชี้วัดที่เป็นไปได้มีการกำหนดมาตรฐานการทดสอบพฤติกรรมเช่น backtest และทดสอบวิธีการของมนุษย์ backtest ได้ดำเนินการเป็นครั้งที่สอง ในการทดสอบแต่ละสุกรที่ถูกวางอยู่บนหลังของพวกเขาและจัดขึ้นอย่างหลวม ๆ เป็นเวลาหนึ่งนาที (n = 1382) จำนวนของความพยายามหลบหนีออกมาได้โดยง่าย (NEA) จะถูกบันทึก นอกเหนือไปจากการทดสอบนี้การทดสอบวิธีการที่มนุษย์ได้ดำเนินการครั้งที่สี่กับสุกรหย่านม (n = 1318) และครั้งเดียวกับสุกร (n = 272) นี่ stockperson ที่บันทึกแฝงของสุกรที่จะเข้าใกล้และสัมผัสคนคือนับแฝง (LC) agonisticinteractions ถูกบันทึกไว้ในช่วงเวลาที่สังเกตวิดีโอ 17 ชั่วโมงในขณะที่จำนวนลักษณะของการต่อสู้ (NF) andnumber ของการต่อสู้เริ่มต้น (IF) ถูกบันทึกไว้ในส่วนผสมของลูกสุกรหย่านม (n = 1111) การเจริญเติบโตของสุกร (n = 446) และสุกร (n = 279) ประมาณการของฟีโนไทป์และความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมระหว่าง traitswere ที่แตกต่างกันเหล่านี้ดำเนินการโดยใช้รูปแบบสัตว์ในการวิเคราะห์ bivariate ลักษณะ IF ของสุกรหย่านมและ NEA wereslightly ความสัมพันธ์เชิงบวก (RG = 0.18) สุกรซึ่งเริ่มต้นการต่อสู้มากขึ้นหลังจากหย่านมมี escapeattempts อื่น ๆ ใน backtests อย่างไรก็ตามยังมีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมเชิงลบระหว่าง agonisticinteractions ลักษณะ NF และถ้าลักษณะและลักษณะ NEA backtest ของสุกร (RG = -0.14 และ RG = -0.28) ได้โดยเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมระหว่าง agonistic NF และถ้าลักษณะของสุกรหย่านมและ มนุษย์ทดสอบวิธีการ LCtrait ของสุกรหย่านมอยู่ในระดับปานกลาง (RG = -0.50 และ RG = -0.45) ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมระหว่าง IF และ NF ของการเจริญเติบโตของสุกรและสุกรและวิธีการทดสอบมนุษย์ LC ลักษณะในสุกรหย่านมต่ำ butalso ความสัมพันธ์เชิงลบ ดังนั้นหมู NF มากขึ้นและถ้าในการผสมมีศักยภาพสั้นในช่วงการทดสอบวิธีการของมนุษย์ สรุปการทดสอบหลังและการทดสอบวิธีการที่มนุษย์อาจจะสามารถทำนายพฤติกรรม agonistic ของสุกรในสถานการณ์ผสม แต่ความน่าเชื่อถือของการคาดการณ์ของการทดสอบพฤติกรรมขึ้นอยู่กับอายุของสุกรที่ผสมและประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของสัตว์เหล่านี้

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

การต่อสู้ระหว่างสุกรเป็นแบบแผนพฤติกรรมปกติเพื่อสร้างลำดับยศมั่นคง ปรับปรุงพฤติกรรมก้าวร้าวในสุกรในกลุ่มนำเพิ่มความเครียดและการบาดเจ็บโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ใช้ผสมเป็นขั้นตอนที่พบบ่อยในระบบการผลิตสุกรที่ทันสมัย ในระบบดังกล่าว มักจะไม่ได้ ที่อยู่อาศัย Re toavoid ด้วยซึ่งแปลกหน้า conspecifics . ดังนั้น จากการวิเคราะห์ฟุ่มเฟือยของโดยตรงหรือวีดีโอการสังเกตการณ์ของปฏิสัมพันธ์ในการ agonistic สถานการณ์มีความจำเป็นที่จะได้รับและปฏิบัติง่าย ได้ตัวบุคคล agonistic เพื่อทำนายพฤติกรรม ตัวบ่งชี้ที่เป็นไปได้คือ มาตรฐานการทดสอบพฤติกรรมเช่น backtest และทดสอบวิธีการของมนุษย์ backtest ทำสองครั้ง ในการทดสอบแต่ละหมูถูกวางลงบนหลังของพวกเขาและกอดหลวมๆ ประมาณ 1 นาที ( n = 947 ) จำนวนของการพยายามหลบหนี ( N ) คือการบันทึก นอกจากการทดสอบ , การทดสอบวิธีการของมนุษย์แบ่งเป็น 4 เท่าของลูกสุกรหย่านม ( n = 677 ) และอีกครั้งกับโดย ( n = 31 ) ที่นี่ stockperson บันทึกศักยภาพของหมูที่จะเข้าถึงและสัมผัสเขา คือ ศักยภาพนับ ( LC ) ที่ถูกบันทึกไว้ในวิดีโอ agonisticinteractions สังเกตระยะเวลา 17 ชั่วโมงในขณะที่จํานวนคุณลักษณะของการต่อสู้ ( NF ) andnumber ของเริ่มต้นการต่อสู้ ( ถ้า ) ถูกบันทึกไว้ในส่วนผสมของลูกสุกรหย่านม ( n = 1111 ) , สุกร ( n = 446 ) และโดย ( n = 0 ) การประมาณการของลักษณะปรากฏและพันธุกรรมสหสัมพันธ์ระหว่างเหล่านี้แตกต่างกัน traitswere ดำเนินการกับสัตว์ในรูปแบบการวิเคราะห์ถดถอย . ถ้าลักษณะของสุกรหย่านม และ N wereslightly ความสัมพันธ์ ( RG = 0.18 ) สุกรที่ริเริ่มการต่อสู้มากขึ้นหลังจากหย่านมได้ escapeattempts เพิ่มเติมใน backtests . อย่างไรก็ตาม , มีลบความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะพันธุกรรม agonisticinteractions NF และถ้าคุณลักษณะและ N backtest คุณลักษณะของสุกรระยะเจริญเติบโต ( RG = −− 0.14 และ RG = 0.28 ) . ความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรม agonistic NF และถ้าลักษณะของสุกรหย่านมและมนุษย์วิธีการทดสอบ lctrait สุกรหลังหย่านมในระดับปานกลาง ( ฤคเวท = −− 0.50 และ RG = 0.45 ) ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างพันธุกรรมของสุกร สุกรสาวและ NF และและวิธีการทดสอบ LC ลักษณะมนุษย์ในสุกรหย่านมลดลงโดยมีความสัมพันธ์ทางลบ ดังนั้น หมูมี NF มากขึ้น และถ้าเกิดการผสมมีสั้นในช่วงเปลี่ยนแปลงของการทดสอบ สรุป สอบหลัง และทดสอบวิธีการของมนุษย์อาจจะสามารถทำนายพฤติกรรม agonistic ของสุกรในการผสม สถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทำนายของพฤติกรรมขึ้นอยู่กับอายุของหมูที่ผสมและประสบการณ์ที่ผ่านมาของสัตว์เหล่านี้