การจัดการห่วงโซ่อุปทานสำหรับผลิตภัณฑ์แบบบูรณาการทั่วโลกการศึกษากรณี Exel
ในปัจจุบันเราสามารถ อุปโภค บริโภค สินค้าจากหลากหลายทั่วมุมโลกเพียงใช้ระยะเวลาอันสั้น โดยที่เราไม่ทราบถึงกระบวนซับซ้อนที่ซ้อนอยู่ภายในของกระบวนการต่างๆ เหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นการเตรียมวัตถุดิบ การผลิต การประกอบสินค้าและการจัดส่ง ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีความสนใจอยากจะศึกษาถึงกระบวนการที่ซ้อนอยู่ในแต่ละกิจกรรมของการบริหารจัดการ ตั้งแต่ กระบวนการผลิต การจัดเก็บสินค้า จนถึง การขนส่งและการกระจายสินค้าจากทั่วมุมโลกด้วยวิธีการตรวจสอบการบริหารห่วงโซ่อุปทานของบริษัท Exel
Exel เป็นผู้นำระดับโลกในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน โดยการมุ่งเน้นให้บริการในกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งอุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ จนถึงร้านค้าปลีก โดยดูแลตั้งแต่การออกแบบและการให้คำปรึกษาในด้านการผลิต ขนส่ง การจัดเก็บและจัดจำหน่าย และ Exel ยังได้มีการดำเนินงานทางด้าน Logistic ที่ครอบคลุมกว่า 120 ประเทศทั่วโลก
Exel สามารถออกแบบการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่ลูกค้า การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพไม่พียงแต่จะเกี่ยวข้องกับความเร็วของการส่งมอบสินค้าเท่านั้น แต่การจัดส่งต้องมีคุณภาพด้วยเพื่อให้เป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภค ยกตัวอย่าง การจัดการห่วงโซ่อุปทานของ Exel สำหรับ บริษัท Volkswagen การปรับปรุงรูปแบบการขนส่งสินค้าทางด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทางอากาศ และการขนส่งทางทะเล โดยได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายทั่วโลก นอกจากนั้น Exel ยังมีระบบขายสินค้าผ่าน Website และยังสามารถส่งของให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งลูกค้ายังสามารถติดตามสินค้าของพวกเขาผ่านทาง Internet ได้อีกด้วย
การพัฒนาระบบต่างๆ เหล่านี้ของ Exel ได้ช่วยให้หลายบริษัทชั้นนำทั่วโลก ได้สร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และยังเป็นต้นแบบในหลายอุตสาหรรมอีกด้วย
ยกตัวอย่าง
• chemicals where safe delivery is essential
• healthcare where prompt delivery and temperature controlled conditions are important
• retailing where cost effective and waste eliminating systems are essential
• high-tech where instant and regular delivery is essential.
อย่างไรก็ตาม Exel ได้คำนึงถึงการผลิตแบบ Just-In-Time และระบบการผลิตแบบ Lean เข้าไปใช้ในอุตสาหกรรมยานยนตร์ ดังเช่น การพัฒนาระบบห่วงโซ่อุปทานกรณีศึกษาของบริษัท Volkswagen
Just-In-Time (JIT) is a very simple idea but one that is essential in modern supply chain management. JIT sets out to cut costs by reducing the amount of goods and materials a firm holds in stock.
JIT involves:
การผลิตหรือการส่งมอบสิ่งของที่ต้องการ ในเวลาที่ต้องการ ด้วยจำนวนที่ต้องการ โดยใช้ความต้องการของลูกค้าเป็นเครื่องกำหนดปริมาณการผลิตและการใช้วัตถุดิบ ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลากรในส่วนงานต่าง ๆ ที่ต้องการงานระหว่างทำ หรือวัตถุดิบ เพื่อให้เกิดการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้วัสดุคงคลังที่ไม่จำเป็นในรูปของวัตถุดิบ งานระหว่างทำ และสินค้าสำเร็จรูป กลายเป็นศูนย์
Objective of just-in-time is
1. ต้องการควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุดหรือเท่ากับศูนย์ (Zero Inventory)
2. ต้องการลดเวลานำหรือระยะเวลารอคอยในกระบวนการผลิตให้น้อยที่สุดหรือเท่ากับศูนย์ (Zero Lead Time)
3. ต้องการขจัดปัญหาของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิตให้เป็นศูนย์ (Zero Failures)
4. ต้องการขจัดความสูญเปล่าในการผลิตดังต่อไปนี้
Core Value of just-in-time is ต้องการที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา (Carrying Cost) ต่ำที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ งานระหว่างผลิต และสินค้าสำเร็จรูป ดังนั้น โดยหลักการของ JIT แล้วปริมาณที่จะประหยัดที่สุดก็คือ การผลิต 1 ต่อ 1 หมายความว่า เมื่อผลิตได้ 1 หน่วยก็จะต้องขายได้ 1 หน่วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามคิดว่าก็ยังไม่มีโรงงานใดในโลกที่จะสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับการผลิตแบบ JIT นอกจากนี้ในลักษณะการผลิตแบบ JIT จึงต้องพยายามที่จะให้การผลิตนั้นมีคุณภาพมากที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะว่าการผลิตจะเป็นลักษณะที่มีการผลิตเมื่อมีความต้องการในสินค้าเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องให้ความสำคัญต่อคุณภาพของสินค้าเป็นสำคัญจึงทำให้ระบบ JIT จึงต้องใช้ควบคู่ไปกับการควบคุมคุณภาพที่สมบูรณ์แบบ (Total Quality Control) สำหรับลักษณะโดยทั่วไปของ TQC นั้น จะเน้นที่มีการระมัดระวังในการผลิตของคนงาน คนงานทุกคนจะต้องรักษาคุณภาพของสินค้าที่ตนเองผลิตอย่างเต็มที่ เพราะถ้าสินค้าที่ผลิตขึ้นมาไม่มีคุณภาพแล้วก็อาจจะทำให้ไม่สามารถที่จะมีการผลิตต่อไปได้จากการผลิตแบบดั้งเดิม และการผลิตแบบ JIT นั้น ต่างก็มีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น เมื่อเราจะมาพิจารณาถึงความแตกต่างของระบบการผลิตทั้ง 2 ชนิดนี้แล้วก็สามารถที่จะพิจารณาได้ดังนี้คือ
1. ลักษณะของการผลิต
สำหรับในเรื่องของลักษณะของการผลิตนั้น เมื่อพิจารณาการผลิตแบบดั้งเดิมจะเห็นว่า ในลักษณะการผลิตแบบดั้งเดิม จะเน้นที่ความสมดุลของสายการผลิต คือ จะมีการแบ่งงานออกเป็นหน่วยงานย่อย ๆ และมีการแบ่งงานกันทำตามลักษณะของความชำนาญ ในขณะที่ลักษณะการผลิตแบบ JIT นั้น จะมุ่งที่ความคล่องตัวของการผลิต จึงมีลักษณะการผลิตแบบ MANUFACTURING CELL ซึ่งคนงานจะต้องสามารถปฏิบัติงานได้หมดทุกอย่างในกระบวนการผลิต
2. ในเรื่องกลยุทธ์ในการผลิต
กลยุทธ์ในการผลิตของการผลิตแบบดั้งเดิม จะมีลักษณะของการกำหนดสายการผลิตที่แน่นอนมั่นคง โดยจะให้สามารถทำการผลิตได้นาน ๆ ตรงกันข้ามกับการผลิตแบบ JIT ซึ่งสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงการผลิตได้ทันที เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด
3. การมอบหมายงาน
การผลิตแบบดั้งเดิมมักจะมีการมอบหมายงานให้คนงานทำเฉพาะงานที่ตนถนัด โดยไม่มีการเปลี่ยนงาน เพื่อให้เกิดความชำนาญเฉพาะอย่าง ในขณะที่การผลิตแบบ JIT มุ่งให้คนงานมีความคล่องตัวในการทำงาน โดยสามารถเปลี่ยนงานจากงานที่หนึ่งทำอีกงานหนึ่งได้ทันทีที่ได้รับมอบหมาย
4. การเก็บสินค้าคงเหลือ
เรื่องการผลิตให้มีสินค้าคงเหลือนั้น สำหรับการผลิตแบบดั้งเดิมนั้นจะมีการวางแผนการผลิตเพื่อให้มีสินค้าพอที่จะขาย โดยมีการผลิตเก็บไว้ใช้สำหรับแก้ไขปัญหา ในกรณีที่มีความต้องการมากขึ้น และเพื่อแก้ปัญหาเมื่อต้องมีการหยุดงานเนื่องจากเครื่องจักรเสีย ในขณะที่ระบบการผลิตแบบ JIT จะไม่มีการผลิตสินค้าเก็บไว้ แต่จะอาศัยคุณภาพในการใช้เครื่องจักร และการบำรุงรักษา เพื่อไม่ให้เครื่องจักรเสียเมื่อต้องปฏิบัติงาน