Study limitationsThis literature an

Study limitations
This literature analysis provided evidence for
Leininger's (1991) Cultural Care Theory by showing that
cultural factors have influence on children's pain.
However, the amount of existing literature was fairly
limited which is a challenge for study reliability.
Additionally, children's age varied significantly, which
may have influence on the findings. On the other hand,
fairly similar cultural factors influencing children's pain
have been identified all over the world which provides
evidence for the results of this literature analysis.
Existing studies provided information of values,
practices and traditions influencing children's pain.
However, based on this literature analysis, we do not
know what are the basic, embedded elements in each
culture that lead to beliefs, values and perceptions ofculture would provide a deeper understanding of factors
influencing children's pain. Additionally, several issues,
such as physical punishment can be considered both legal
factors and cultural values. Physical punishment is legally
forbidden in many countries, but also a cultural tradition
in several settings. Therefore, more research is needed to
clarify the relationship between the elements of Cultural
Care Theory
Conclusions
Cultural factors were found to have influence on
children's pain in several ways:
1) Certain cultural factors, such as kinship, religion
and economic resources may promote children's pain
management.
2) Cultural traditions, such as circumcision and
physical abuse may serve as major reasons for children's
pain acceptance, experiences and occurrence.
3) Parents' low level of education and occupation and
living in rural areas may be reasons for children's poor
pain relief and parents' acceptance of pain.
4) Leininger's Cultural Care Theory can be utilised
universally while studying factors influencing children's
pain.
The findings of this study provided challenges for
further research:
1) More cultural research is needed to understand
ethno-history influencing tradition in the context of pain
in different cultures.
2) Research is needed to identify those nursing
interventions that can be utilised to enable the most
effective pain relief in children.
3) Further research should be conducted by using
cultural research methodology.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ข้อจำกัดศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมนี้มีหลักฐานในการของ Leininger (1991) วัฒนธรรมดูแลทฤษฎี โดยแสดงที่ปัจจัยทางวัฒนธรรมมีผลต่อการเจ็บปวดของเด็กอย่างไรก็ตาม ยอดของวรรณคดีที่มีอยู่ได้ค่อนข้างจำกัดซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับการศึกษานอกจากนี้ อายุเด็กที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจมีอิทธิพลที่มีต่อผลการศึกษา ในทางตรงข้ามค่อนข้างคล้ายวัฒนธรรมปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความเจ็บปวดของเด็กได้รับการระบุทั่วโลกซึ่งมีหลักฐานสำหรับผลลัพธ์ของการวิเคราะห์วรรณกรรมนี้การศึกษาที่มีอยู่ให้ข้อมูลค่าปฏิบัติและประเพณีที่มีอิทธิพลต่อความเจ็บปวดของเด็กอย่างไรก็ตาม ตามวิเคราะห์วรรณกรรมนี้ เราไม่รู้ว่าอะไรเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน ฝังในแต่ละวัฒนธรรมที่นำไป ofculture ความเชื่อ ค่านิยม และภาพลักษณ์จะให้ความเข้าใจลึกของปัจจัยมีอิทธิพลต่อความเจ็บปวดของเด็ก นอกจากนี้ หลายเรื่องเช่นการลงโทษทางกายภาพสามารถพิจารณากฎหมายทั้งสองปัจจัยและค่านิยมทางวัฒนธรรม การลงโทษทางกายภาพได้ตามกฎหมายห้ามในหลายประเทศ แต่ประเพณีวัฒนธรรมในการตั้งค่าต่าง ๆ ดังนั้น ต้องการการวิจัยเพิ่มเติมชี้แจงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของวัฒนธรรมทฤษฎีการดูแลบทสรุปพบปัจจัยทางวัฒนธรรม มีอิทธิพลในความเจ็บปวดของเด็กในหลายวิธี:1) ปัจจัยบางวัฒนธรรม เช่นญาติ ศาสนาและทรัพยากรทางเศรษฐกิจอาจส่งเสริมอาการปวดของเด็กการจัดการ2) วัฒนธรรมประเพณี เช่นการสร้าง และละเมิดทางกายภาพอาจใช้เป็นเหตุผลหลักสำหรับเด็กยอมรับความเจ็บปวด ประสบการณ์ และเหตุการณ์3) พ่อแม่ต่ำระดับการศึกษาและอาชีพ และอาศัยอยู่ในชนบทอาจจะเหตุผลสำหรับเด็กยากจนบรรเทาอาการปวดหลังและพ่อแม่ยอมรับความเจ็บปวด4 สามารถใช้ทฤษฎีการดูแลวัฒนธรรม Leiningerแพร่หลายในขณะที่ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อเด็กความเจ็บปวดผลการวิจัยของการศึกษานี้มีความท้าทายสำหรับวิจัยเพิ่มเติม:1) วิจัยมากกว่าวัฒนธรรมต้องเข้าใจethno-ประวัติการมีอิทธิพลต่อประเพณีในบริบทของความเจ็บปวดในวัฒนธรรมที่แตกต่าง2) การวิจัยจะต้องระบุผู้พยาบาลงานวิจัยที่สามารถใช้เพื่อเปิดใช้งานมากที่สุดบรรเทาอาการปวดหลังมีผลบังคับใช้ในเด็ก3) ควรดำเนินการวิจัย โดยใช้เพิ่มเติมระเบียบวิธีวิจัยทางวัฒนธรรม

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ข้อจำกัดของการศึกษานี้ให้หลักฐานสำหรับการวิเคราะห์วรรณคดี

เครื่องบิน ( 1991 ) ทฤษฎีการดูแลทางวัฒนธรรม โดยแสดงให้เห็นว่าปัจจัยทางวัฒนธรรมที่มีผลต่อความเจ็บปวด

เด็ก อย่างไรก็ตาม จำนวนของวรรณกรรมที่มีอยู่ค่อนข้างจำกัด ซึ่งเป็นความท้าทายสำหรับ

) การศึกษา นอกจากนี้ เด็กอายุแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่ง
อาจมีมีอิทธิพลในการค้นพบ บนมืออื่น ๆ ,
ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน วัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อความเจ็บปวดของเด็ก
ได้รับการระบุทั่วโลกซึ่งมี
หลักฐานสำหรับผลของสิ่งนี้การวิเคราะห์วรรณคดี .
ที่มีอยู่การศึกษาให้ข้อมูลค่า
การปฏิบัติและประเพณีที่มีอิทธิพลต่อความเจ็บปวดของเด็ก .
แต่ตามการวิเคราะห์วรรณคดี เราไม่
รู้ว่ามีพื้นฐาน องค์ประกอบในแต่ละ
ฝังตัววัฒนธรรมที่นำไปสู่ ความเชื่อ ค่านิยม และการรับรู้ ofculture จะให้ความเข้าใจที่ลึกของปัจจัย
มีอิทธิพลต่อความเจ็บปวดของเด็ก หลายประเด็น นอกจากนี้ , ,
เช่นการลงโทษทางร่างกายจะพิจารณาทั้งปัจจัยทางกฎหมาย
และค่านิยมทางวัฒนธรรม การลงโทษทางร่างกายถูกกฎหมาย
ต้องห้ามในหลายประเทศ แต่ยัง
ประเพณีวัฒนธรรมในการตั้งค่าหลาย ดังนั้นการวิจัยมากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อ
ชี้แจงความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของการดูแลทางวัฒนธรรม

สรุปทฤษฎี ปัจจัยทางวัฒนธรรม พบว่ามีอิทธิพลต่อ
ความเจ็บปวดเด็กในหลายวิธี :
1 ) ปัจจัยวัฒนธรรมบางอย่าง เช่น เครือญาติ ศาสนา
และทรัพยากรทางเศรษฐกิจอาจส่งเสริมการจัดการความเจ็บปวด

2 ) ประเพณีของเด็ก วัฒนธรรม เช่น การขลิบและ
การละเมิดทางกายภาพอาจเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับการยอมรับความเจ็บปวดของเด็ก
, ประสบการณ์และเหตุการณ์ .
3 ) ผู้ปกครองที่มีระดับการศึกษาและอาชีพและ
ใช้ชีวิตในชนบทอาจจะมีเหตุผลสำหรับเด็กยากจน
โล่งอกความเจ็บปวดและผู้ปกครองยอมรับความเจ็บปวด .
4 ) ทฤษฎีการดูแลทางวัฒนธรรมของเครื่องบินสามารถใช้
สามารถในขณะที่ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อเด็ก

ความเจ็บปวดผลการศึกษานี้ให้ความท้าทายสำหรับการวิจัย :

1 ) วัฒนธรรมการวิจัยมากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเข้าใจ
ประวัติ ethno มีอิทธิพลต่อประเพณีในบริบทของความเจ็บปวด

2 ) ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การวิจัยเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อระบุการแทรกแซงนั้นพยาบาล
ที่สามารถใช้เพื่อเปิดใช้งานมากที่สุด
บรรเทาอาการปวดที่มีประสิทธิภาพในเด็ก
3 ) การวิจัยครั้งต่อไปควรศึกษาโดยใช้
วิจัยทางวัฒนธรรม