5 ข้อคิดดีๆจากหนังเรื่อง The Intern
1. อันตรายของอิสรภาพ
“อิสรภาพที่ว่างเปล่าเป็นสิ่งไร้ค่า”
ขณะที่คนทั่วไปใฝ่ฝันถึง “อิสรภาพ” อยากรีบเกษียณเร็วๆเพื่อใช้ชีวิตที่ตัวเองต้องการ แต่การได้รับอิสรภาพของ Ben ในระยะเวลาเพียง 10 ปีกลับทำให้เขารู้สึกเบื่อและ “ไร้ค่า” แม้เขาจะใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการมากมายเช่น เที่ยว, ปลูกต้นไม้ หรือแม้กระทั่งหัดพูดภาษาจีน ทำให้ต้องออกค้นหา “คุณค่า” ของชีวิตอีกครั้งด้วยการกลับมาเป็น “พนักงานฝึกหัด” (Intern) ให้กับธุรกิจยุคใหม่ที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำให้เราได้กลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่านอกจากอิสรภาพแล้ว “คุณต้องการอะไร?”
2. ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรือแก่เกินไปในการเรียนรู้
“จงหิวและโง่อยู่เสมอ”
ถึงแม้ Ben จะประสบความสำเร็จอย่างสูงและมีประสบการณ์ทำงานถึง 40 ปีและเกษียณไปแล้วกว่าสิบปีแต่เขายังเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ เช่น การฝึกใช้คอมพิวเตอร์ หัดเล่น Facebook คบเพื่อนใหม่ต่างวัย เรียนรู้วัฒนะธรรมใหม่ๆหรือแม้กระทั่งเรียนรู้การทำธุรกิจออนไลน์ซึ่งเป็นธุรกิจยุคใหม่ ทำให้เขาปรับตัวสามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกในปัจจุบันแล้วกลับมาสดชื่นและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผมชอบฉากที่ Ben แม้จะอาวุโสกว่าแต่ยอมรับว่าคนที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขามากที่สุดในชีวิตคือ“Jue” ซึ่งอายุน้อยกว่าเขามากเพราะเธอเต็มไปด้วย Passion และทุ่มเทให้กับงานรวมถึงธุรกิจที่เธอรักอย่างเต็มที่อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขา เหมือนน้ำครึ่งแก้วที่พร้อมจะเปิดใจรับฟังและเรียนรู้จากผู้อื่นเสมอ
3. “แตกต่างแต่ไม่แตกแยก”
“คุณสามารถรักษาความเป็นตัวเองได้ ในขณะที่ปรับตัวเข้าหาคนอื่น”
คนส่วนใหญ่ในโลกทุกวันนี้ไม่ค่อยรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ชอบเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ชอบตัดสินคนอื่นจากภายนอกและคิดว่าตัวเองถูกเสมอ แต่ Ben ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สุดและมีประสบการณ์มากมายกลับให้เกียรติเพื่อนร่วมงานทุกคนและรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ยอมรับในความแตกต่างของแต่ละคน โดยที่ไม่ตัดสินใคร ในขณะที่เขาก็กล้าแสดงออกถึงตัวตนและความคิดที่แตกต่าง ทำให้คนที่แตกต่างแบบสุดขั้วอย่างเขากลับได้รับการไว้ใจและเปิดใจยอมรับจากผู้คนรอบข้างอย่างรวดเร็ว
4. งานในฝัน vs. ชีวิตในฝัน
“อย่าเผลอทำงานจนลืมใช้ชีวิต และอย่าเผลอใช้ชีวิตจนลืมทำงาน”
Jules เป็นแม่บ้านเริ่มธุรกิจ “Start Up” ขายเสื้อผ้าออนไลน์จากศูนย์ แล้วเติบโตกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่มีพนักงานมากกว่าสองร้อยคนภายในเวลาอันสั้นเพียงปีครึ่งนั้นไม่ได้มาด้วยโชคช่วย แต่เธอทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจกับ “งานในฝัน” ของเธออย่างเต็มที่ จนส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวซึ่งเธอต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองเพิ่มขึ้น ผมว่านี่แหล่ะคือความจริงของ “งาน” และ “การใช้ชีวิต”
ทุกคนอยากมี “งานในฝัน” เพื่อมี “ชีวิตในฝัน” แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่เคยคิดจะทำอะไรอย่างเต็มที่เพื่อมันเลย Jules ทำให้เราเห็นแล้วว่าทางเดียวที่คุณจะประสบความสำเร็จในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันได้คือ คุณต้องทุ่มเททำในสิ่งที่คุณรักอย่างเต็มที่อยู่ตลอดเวลาทั้งหลับและตื่น จนอาจจะกระทบกับชีวิตไปบ้างแต่คุณต้องรีบเรียนรู้และพัฒนาตัวเองในการทำธุรกิจและใช้ชีวิตไปพร้อมกันอยู่เสมอ
5. คุณค่าของประสบการณ์
“ไม่สำคัญว่าคุณจะมีประสบการณ์มากแค่ไหน สิ่งสำคัญคือคุณใช้ประสบการณ์ที่มีอย่างไร”
Ben เตือนให้เราเห็นข้อเสียของอิสรภาพหลังเกษียณมากมายเช่น ประสบการณ์ยาวนาน 40 ปีของเขากลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า, การมีชีวิตแต่ละวันเป็นเรื่องน่าเบื่อและแสนเศร้า และเขาทำให้เราเห็นแล้วว่าทางเดียวที่ชีวิตคุณจะกลับมา “มีค่า” และ “มีความสุข” ก็ต่อเมื่อคุณเรียนรู้ที่จะใช้ประสบการณ์ที่มีไปสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่น
ในขณะที่คนส่วนใหญ่มุ่งความสนใจไปที่คำถามว่า ต้องหาเงินที่มากเท่าไหร่เพื่อจะเลิกทำงานไปทั้งชีวิต?
แต่หนังเรื่องนี้ทำให้ผมยิ่งสนใจว่า งานอะไรที่ผมจะตื่นเต้นและมีความสุขที่ได้ทำมันไปทั้งชีวิต? มากกว่าครับ
ผมหวังว่าบทความนี้และหนังเรื่องนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณอยากตื่นนอนทุกเช้าเพื่อทำสิ่งที่คุณต้องการ และกลับเข้านอนทุกคืนด้วยความสุขและความภูมิใจในสิ่งที่คุณได้ทำมาทั้งวันครับ
แล้วคุณละครับหลังจากอ่านบทความนี้หรือดูหนังเรื่องนี้แล้ว คุณตั้งคำถามอะไรกับตัวเอง?