มีตำนานเล่าสืบกันมาว่า มีสามีภรรยาฐานะยากจนคู่หนึ่ง ตั้งบ้านเรือนอยู่นอกเมืองเชียงใหม่ ประกอบอาชีพทำนา ทำสวนและค้าขายพอเลี้ยงชีพได้ วันหนึ่ง สองสามีภรรยาตื่นแต่เช้าเดินทางเข้าตัวเมืองพร้อมกับสัมภาระสำหรับค้าขาย ขณะนั้นยังเป็นเวลาเช้ามืด และเป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง สายตาของทั้งคู่ ก็เเห็นสามเณรน้อยรูปหนึ่งอุ้มบาตร ครองผ้าเป็นปริมณฑลตัดกับแสงจันทร์ เป็นภาพที่น่าดูอย่างยิ่ง ยังความปิติเข้าสู่หัวใจของทั้งสอง อีกทั้งบังเกิดศรัทธาในตัวสามเณร จึงได้แบ่งสิ่งของที่ตั้งใจนำไปขายยกขึ้นอธิษฐาน แล้วใส่ในบาตรของสามเณร ชายผู้เป็นสามีนึกแปลกใจว่า สามเณรจากวัดใดกันออกบิณฑบาตแต่เช้าตรู่เพียงลำพังเช่นนี้ ฝ่ายสามีจึงเดินตามสามเณรไป เมื่อเดินไปถึงชายป่า สามเณรก็หายวับไปที่ต้นไทรต้นหนึ่ง สามีเห็นเช่นนั้น ก็วิ่งกลับมาบอกกับภรรยา และต่างเก็บความสงสัยไว้ในใจ นับจากที่ได้นำสิ่งของใส่บาตรเป็นกุศลศรัทธากับสามเณรน้อยรูปนั้น สองสามีภรรยาก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ได้ผลกำไรงาม ฐานะร่ำรวยขึ้น ต่อมาภายหลัง จึงทราบจากพระผู้เฒ่ารูปหนึ่ง ผู้ทรงอภิญญาญาณเคร่งครัดในศีลว่า การที่เจริญก้าวหน้าค้าขายร่ำรวยนั้น เนื่องจากอานิสงส์ที่ได้ตักบาตรกับสามเณรผู้ซึ่งคือ พระปคุตมหาเถระที่เข้านิโรธสมาบัติอยู่ใต้สะดือทะเล ครั้นถึงวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ท่านจะแปลงเป็นสามเณรน้อย ออกบิณฑบาตแต่เช้าตรู่เพื่อโปรดสัตว์ บุคคลใดได้ตักบาตรกับท่านพระมหาอุปคุต ถือว่าเป็นบุคคลที่โชคดี ทำให้เจริญรุ่งเรือง สองสามีภรรยาได้ฟัง ก็เกิดปิติศรัทธา จึงได้สร้างวัดขึ้นบริเวณที่พบสามเณรน้อย ชาวบ้านเมื่อทราบข่าว ต่างมาร่วมอนุโมทนาและร่วมทำบุญ โดยตั้งชื่อวัดนี้ว่า "วัดอุปคุต" ต่อมา จึงได้มีประเพณีตักบาตรเที่ยงคืนในวัน "เป็งปุ๊ด" หรือ "เพ็ญวันพุธ" ขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่ตรงกับวันพุธ โดยในแต่ละปี อาจจะมีเพียงครั้งเดียว มากกว่าหนึ่งครั้ง หรือไม่มีเลยก็เป็นได้ สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดอุปคุต อันมีตำนานเกี่ยวเนื่องกับพระอุปคุตและเป็นเพียงวัดเดียวในดินแดนล้านนา ที่สืบสานประเพณีตักบาตรเป็งปุ๊ด