Since our economy has shifted to wh

Since our economy has shifted to what I call a surveillance economy, but let's say an economy where algorithms guide people a lot, we have this very odd situation where you have these algorithms that rely on big data in order to figure out who you should date, who you should sleep with, what music you should listen to, what books you should read, and on and on and on. And people often accept that because there's no empirical alternative to compare it to, there's no baseline. It's bad personal science. It's bad self-understanding.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เนื่องจากเศรษฐกิจของเราได้เลื่อนไปสิ่งที่ฉันเรียกเศรษฐกิจเฝ้าระวัง แต่สมมุติว่า เศรษฐกิจที่อัลกอริทึมแนะนำคนมาก เรามีสถานการณ์นี้แปลกมากที่คุณมี algorithms เหล่านี้ที่อาศัยข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อที่จะหาที่ที่คุณควรวัน ที่คุณควรจะนอนกับ เพลงอะไรที่คุณควรฟัง ว่าหนังสือที่คุณควรอ่าน และบนเครื่อง และบน และนอกจากนี้ผู้คนมักจะยอมรับเนื่องจากไม่มีทางเลือกไม่เชิงประจักษ์เปรียบเทียบให้ ว่ามีพื้นฐานไม่ มันเป็นวิทยาศาสตร์ส่วนตัวที่ไม่ดี Self-understanding ไม่ดีได้

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เนื่องจากเศรษฐกิจของเราได้เปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ผมเรียกเศรษฐกิจการเฝ้าระวัง แต่ขอบอกว่าเศรษฐกิจที่ขั้นตอนวิธีการแนะนำคนจำนวนมากที่เรามีนี้สถานการณ์แปลกมากที่คุณมีขั้นตอนวิธีการเหล่านี้ที่ต้องพึ่งพาข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อที่จะคิดออกที่คุณควรวัน ที่คุณควรจะนอนกับสิ่งที่เพลงที่คุณควรจะฟังสิ่งที่หนังสือที่คุณควรอ่านและในและในและใน และผู้คนมักจะยอมรับว่าเพราะไม่มีทางเลือกเชิงประจักษ์จะเปรียบเทียบกับไม่มีพื้นฐาน มันเป็นวิทยาศาสตร์ส่วนบุคคลที่ไม่ดี มันไม่ดีความเข้าใจตนเอง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เนื่องจากเศรษฐกิจของเราได้เปลี่ยนไป สิ่งที่ผมเรียกว่า การเฝ้าระวังเศรษฐกิจ แต่สมมติว่าเศรษฐกิจที่อัลกอริทึมคู่มือคนเยอะ เราก็มีสถานการณ์ที่แปลกมากที่คุณขั้นตอนวิธีเหล่านี้พึ่งพาข้อมูลใหญ่เพื่อหาที่คุณควรคบใคร เธอน่าจะไปนอนกับสิ่งที่เพลงที่คุณต้องฟัง แล้วหนังสือที่คุณควรอ่าน และบนและบนและบน และผู้คนมักจะยอมรับว่า เพราะไม่มีผลอื่นมาเทียบ ไม่มีพื้นฐาน มันเป็นวิทยาศาสตร์ส่วนบุคคลที่ไม่ดี มันคือความเข้าใจตนเองไม่ดี