องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 การแปล - องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 ไทย วิธีการพูด

องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปป

องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้วเศษ สูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษ ประดิษฐานอยู่บนฐานอยู่บนฐานชุกชี 5 ชั้น เบื้องหน้าผ้าทิพย์ปูทอดลงมาองค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ภายในอุโบสถ หันพระพักตร์ไปทางทิศอุดร (ทิศเหนือ) ซึ่งหน้าวัดมีแม่น้ำนครชัยศรีหรือแม่น้ำท่าจีนไหลผ่าน จากหนังสือประวัติของวัดไร่ขิงได้กล่าวไว้ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ได้อัญเชิญมาจากวัดศาลาปูน โดยนำล่องมาทางน้ำด้วยการทำแพไม้ไผ่หรือที่เรียกกันว่าแพลูกบวบรองรับองค์พระปฏิมากรณ์ เมื่อถึงหน้าวัดไร่ขิงจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ภายในอุโบสถ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์พอดีจึงมีประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมกัน ในขณะที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นจากแพ สู่ปะรำพิธีได้เกิดอัศจรรย์แสงแดดที่แผดจ้ากลับพลันหายไป ความร้อนระอุในวันสงกรานต์ก็บังเกิดมีเมฆดำมืดทะมึน ลมปั่นป่วน ฟ้าคะนอง และบันดาลให้มีฝนโปรยลงมาทำให้เกิดความเย็นฉ่ำและเกิดความปิติ ยินดีกันโดยทั่วหน้า ประชาชนที่มาต่างก็พากันตั้งจิตรอธิษฐานเป็นหนึ่งเดียวกัน ว่า “หลวงพ่อจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ดับความร้อนร้ายคลายความทุกข์ให้หมดไป ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำ เจริญงอกงามด้วยธัญญาหารฉะนั้น” ดังนั้น วันดังกล่าวที่ตรงกับวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ของคนไทย ทางวัดจึงได้ถือเป็นวันสำคัญ และได้จัดให้มีงานเทศกาลนมัสการปิดทองประจำปีหลวงพ่อวัดไร่ขิง สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ตำนานหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้นจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา หรือที่เรียกว่า "มุขปาฐะ" มีหลายตำนาน ดังนี้
ตำนานที่ 1 ครั้งเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(พุก)ชาวเมืองนครชัยศรี ได้มาตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพราน ได้เข้าไปในพระอุโบสถวัดไร่ขิง หลังจากกราบพระประธานแล้ว มีความเห็นว่าพระประธานมีขนาดเล็กเกินไป จึงบอกให้ท่านเจ้าอาวาสพร้อมชาวบ้านไปอัญเชิญมาจากวัดศาลาปูนฯ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยวางลงบนแบบไม้ไผ่และนำล่องมาตามลำน้ำและอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ ตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 วันสงกรานต์พอดี
ตำนานที่ 2 วัดไร่ขิงสร้างเมื่อปีกุน พุทธศักราช 2394 ตรงกับปีสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 ต้นปี ในรัชการที่ 4 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก)ซึ่งเป็นชาวเมืองนครชัยศรี ในขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่ "พระธรรมราชานุวัตร" ปกครองอยู่ที่วัดศาลาปูนวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้กลับมาสร้างวัดที่บ้านเกิดของตนที่ไร่ขิง เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูป
สำคัญองค์หนึ่งจากกรุงเก่า ( จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ) มาเพื่อประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถแต่การสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ ท่านได้มรณภาพเสียก่อน ส่วนงานที่เหลืออยู่พระธรรมราชานุวัตร(อาจ จนฺทโชโต) หลานชายของท่านจึงดำเนินงานต่อจนเรียบร้อย และบูรณะดูแลมาโดยตลอดจนถึงแก่มรณภาพ
ตำนานที่ 3 ตามตำนานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับมีพระพุทธรูปลอยน้ำมา 5 องค์ก็มี 3 องค์ก็มีโดยเฉพาะในเรื่องที่เล่าว่ามี 5 องค์นั้น ตรงกับคำว่า " ปัญจภาคี ปาฏิหาริยกสินธุ์โน " ซึ่งได้มีการเล่าเป็นนิทานว่า ในกาลครั้งหนึ่ง มีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมากได้พร้อมใจกันตั้งสัตย์อธิษฐานว่า เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยให้สัตว์โลกได้พ้นทุกข์ แม้จะตายไปแล้ว ก็จะขอสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้ได้พ้นทุกข์ต่อไปจนกว่าจะถึงพระนิพานครั้งพระอริยบุคคลทั้ง 5 องค์ ได้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าไปสถิตในพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์จะมีความปรารถนาที่จะช่วยคนทางเมืองใต้ที่อยู่ติดแม่น้ำให้ได้พ้นทุกข์ จึงได้พากันลอยน้ำลงมาตามลำน้ำทั้ง 5 สาย เมื่อชาวบ้านตามเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำเห็นเข้า จึงได้อัญเชิญและประดิษฐานไว้ตามวัดต่างๆ มีดังนี้
พระพุทธรูปองค์ที่ 1 ลอยไปตามแม่น้ำบางปะกง ขึ้นสถิตที่วัดโสธรวรวิหาร เมืองแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกกันว่า "หลวงพ่อโสธร"
พระพุทธรูปองค์ที่ 2 ลอยไปตามแม่น้ำนครชัยศรี (ท่าจีน)ขึ้นสถิตที่วัดไร่ขิงเมืองนครชัยศรี เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง"
พระพุทธรูปองค์ที่ 3 ลอยไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสถิตที่วัดบางพลี เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดบางพลี" แต่บางตำนานก็ว่า หลวงพ่อวัดบางพลีเป็นองค์แรกในจำนวน 5 องค์ จึงเรียกว่า "หลวงพ่อโตวัดบางพลี "
พระพุทธรูปองค์ที่ 4 ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นสถิตที่วัดบ้านแหลม เมืองแม่กลอง เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม"
พระพุทธรูปองค์ที่ 5 ลอยไปตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเคราเมืองเพชรบุรี เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"
ส่วนตำนานของเมืองนครปฐมนั้นเล่าว่า มีพระ 3 องค์ ลอยน้ำมาพร้อมกัน และแสดงปาฏิหาริย์จะเข้าไปยังบ้านศรีมหาโพธิ์ ซึ่งมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ จึงได้เรียกตำบลนั้นว่า "บางพระ" พระพุทธรูป 3 องค์ลอยไปจนถึงปากน้ำท่าจีนแล้วกลับลอยทวนน้ำขึ้นมาใหม่ จึงเรียกตำบลนั้นว่า "สามประทวน" หรือ "สัมปทวน" แต่เนื่องจากตำบลที่ชาวบ้านพากันไปชักพระขึ้นฝั่งเพื่อขึ้นประดิษฐาน ณ หมู่บ้านของตน แต่ทำไม่สำเร็จ ต้องเปียกฝนและตากแดดตากลมจึงได้ชื่อว่า "บ้านลานตากฟ้า" และ "บ้านตากแดด" ในที่สุดพระพุทธรูปองค์แรกจึงยอมสถิต ณ วัดไร่ขิงเรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง" ส่วนองค์ที่ 2 ลอยน้ำไปแล้วสถิตขึ้นที่วัดบ้านแหลมจังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม" และองค์ที่ 3 ลอยตามน้ำไปตามจังหวัดเพชรบุรี แล้วขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเครา เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (ไทย) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้วเศษสูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษประดิษฐานอยู่บนฐานอยู่บนฐานชุกชี 5 ชั้นเบื้องหน้าผ้าทิพย์ปูทอดลงมาองค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงประดิษฐานเป็นพระประธานอยู่ภายในอุโบสถ (ทิศเหนือ) หันพระพักตร์ไปทางทิศอุดรซึ่งหน้าวัดมีแม่น้ำนครชัยศรีหรือแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านจากหนังสือประวัติของวัดไร่ขิงได้กล่าวไว้ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ได้อัญเชิญมาจากวัดศาลาปูนโดยนำล่องมาทางน้ำด้วยการทำแพไม้ไผ่หรือที่เรียกกันว่าแพลูกบวบรองรับองค์พระปฏิมากรณ์เมื่อถึงหน้าวัดไร่ขิงจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ภายในอุโบสถตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์พอดีจึงมีประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมกันในขณะที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นจากแพสู่ปะรำพิธีได้เกิดอัศจรรย์แสงแดดที่แผดจ้ากลับพลันหายไปความร้อนระอุในวันสงกรานต์ก็บังเกิดมีเมฆดำมืดทะมึนลมปั่นป่วนฟ้าคะนองและบันดาลให้มีฝนโปรยลงมาทำให้เกิดความเย็นฉ่ำและเกิดความปิติยินดีกันโดยทั่วหน้าประชาชนที่มาต่างก็พากันตั้งจิตรอธิษฐานเป็นหนึ่งเดียวกันว่า "หลวงพ่อจะทำให้เกิดควดังนี้มีหลายตำนานดังนั้นวันดังกล่าวที่ตรงกับวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยทางวัดจึงได้ถือเป็นวันสำคัญและได้จัดให้มีงานเทศกาลนมัสการปิดทองประจำปีหลวงพ่อวัดไร่ขิงสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ตำนานหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้นจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมาหรือที่เรียกว่า "มุขปาฐะ" ามร่มเย็นเป็นสุขดับความร้อนร้ายคลายความทุกข์ให้หมดไปดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำเจริญงอกงามด้วยธัญญาหารฉะนั้น"ตำนานที่ 1 ครั้งเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(พุก)ชาวเมืองนครชัยศรี ได้มาตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพราน ได้เข้าไปในพระอุโบสถวัดไร่ขิง หลังจากกราบพระประธานแล้ว มีความเห็นว่าพระประธานมีขนาดเล็กเกินไป จึงบอกให้ท่านเจ้าอาวาสพร้อมชาวบ้านไปอัญเชิญมาจากวัดศาลาปูนฯ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยวางลงบนแบบไม้ไผ่และนำล่องมาตามลำน้ำและอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ ตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 วันสงกรานต์พอดีตำนานที่ 2 วัดไร่ขิงสร้างเมื่อปีกุน พุทธศักราช 2394 ตรงกับปีสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 ต้นปี ในรัชการที่ 4 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก)ซึ่งเป็นชาวเมืองนครชัยศรี ในขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่ "พระธรรมราชานุวัตร" ปกครองอยู่ที่วัดศาลาปูนวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้กลับมาสร้างวัดที่บ้านเกิดของตนที่ไร่ขิง เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งจากกรุงเก่า ( จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ) มาเพื่อประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถแต่การสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ ท่านได้มรณภาพเสียก่อน ส่วนงานที่เหลืออยู่พระธรรมราชานุวัตร(อาจ จนฺทโชโต) หลานชายของท่านจึงดำเนินงานต่อจนเรียบร้อย และบูรณะดูแลมาโดยตลอดจนถึงแก่มรณภาพ
ตำนานที่ 3 ตามตำนานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับมีพระพุทธรูปลอยน้ำมา 5 องค์ก็มี 3 องค์ก็มีโดยเฉพาะในเรื่องที่เล่าว่ามี 5 องค์นั้น ตรงกับคำว่า " ปัญจภาคี ปาฏิหาริยกสินธุ์โน " ซึ่งได้มีการเล่าเป็นนิทานว่า ในกาลครั้งหนึ่ง มีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคล ชั้นโสดาบัน มีฤทธิ์อำนาจทางจิตมากได้พร้อมใจกันตั้งสัตย์อธิษฐานว่า เกิดมาชาตินี้จะขอบำเพ็ญบารมีช่วยให้สัตว์โลกได้พ้นทุกข์ แม้จะตายไปแล้ว ก็จะขอสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้ได้พ้นทุกข์ต่อไปจนกว่าจะถึงพระนิพานครั้งพระอริยบุคคลทั้ง 5 องค์ ได้ดับขันธ์ไปแล้ว ก็เข้าไปสถิตในพระพุทธรูปทั้ง 5 องค์จะมีความปรารถนาที่จะช่วยคนทางเมืองใต้ที่อยู่ติดแม่น้ำให้ได้พ้นทุกข์ จึงได้พากันลอยน้ำลงมาตามลำน้ำทั้ง 5 สาย เมื่อชาวบ้านตามเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำเห็นเข้า จึงได้อัญเชิญและประดิษฐานไว้ตามวัดต่างๆ มีดังนี้
พระพุทธรูปองค์ที่ 1 ลอยไปตามแม่น้ำบางปะกง ขึ้นสถิตที่วัดโสธรวรวิหาร เมืองแปดริ้ว จังหวัดฉะเชิงเทรา เรียกกันว่า "หลวงพ่อโสธร"
พระพุทธรูปองค์ที่ 2 ลอยไปตามแม่น้ำนครชัยศรี (ท่าจีน)ขึ้นสถิตที่วัดไร่ขิงเมืองนครชัยศรี เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง"
พระพุทธรูปองค์ที่ 3 ลอยไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสถิตที่วัดบางพลี เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดบางพลี" แต่บางตำนานก็ว่า หลวงพ่อวัดบางพลีเป็นองค์แรกในจำนวน 5 องค์ จึงเรียกว่า "หลวงพ่อโตวัดบางพลี "
พระพุทธรูปองค์ที่ 4 ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลอง ขึ้นสถิตที่วัดบ้านแหลม เมืองแม่กลอง เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม"
พระพุทธรูปองค์ที่ 5 ลอยไปตามแม่น้ำเพชรบุรี ขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเคราเมืองเพชรบุรี เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา"
ส่วนตำนานของเมืองนครปฐมนั้นเล่าว่า มีพระ 3 องค์ ลอยน้ำมาพร้อมกัน และแสดงปาฏิหาริย์จะเข้าไปยังบ้านศรีมหาโพธิ์ ซึ่งมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ จึงได้เรียกตำบลนั้นว่า "บางพระ" พระพุทธรูป 3 องค์ลอยไปจนถึงปากน้ำท่าจีนแล้วกลับลอยทวนน้ำขึ้นมาใหม่ จึงเรียกตำบลนั้นว่า "สามประทวน" หรือ "สัมปทวน" แต่เนื่องจากตำบลที่ชาวบ้านพากันไปชักพระขึ้นฝั่งเพื่อขึ้นประดิษฐาน ณ หมู่บ้านของตน แต่ทำไม่สำเร็จ ต้องเปียกฝนและตากแดดตากลมจึงได้ชื่อว่า "บ้านลานตากฟ้า" และ "บ้านตากแดด" ในที่สุดพระพุทธรูปองค์แรกจึงยอมสถิต ณ วัดไร่ขิงเรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง" ส่วนองค์ที่ 2 ลอยน้ำไปแล้วสถิตขึ้นที่วัดบ้านแหลมจังหวัดสมุทรสงคราม เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม" และองค์ที่ 3 ลอยตามน้ำไปตามจังหวัดเพชรบุรี แล้วขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเครา เรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้วเศษสูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษประดิษฐานอยู่บนฐานอยู่บนฐานชุกชี 5 ชั้น หันพระพักตร์ไปทางทิศอุดร (ทิศเหนือ) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ได้อัญเชิญมาจากวัดศาลาปูน ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 ลมปั่นป่วนฟ้าคะนอง ยินดีกันโดยทั่วหน้า ว่า ดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำเจริญงอกงามด้วยธัญญาหารฉะนั้น "ดังนั้น ทางวัดจึงได้ถือเป็นวันสำคัญ หรือที่เรียกว่า "มุขปาฐะ" มีหลายตำนานดังนี้
ตำนานที่ 1 ได้เข้าไปในพระอุโบสถวัดไร่ขิงหลังจากกราบพระประธานแล้ว จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 วันสงกรานต์พอดี
ตำนานที่ 2 วัดไร่ขิงสร้างเมื่อปีกุนพุทธศักราช 2394 ตรงกับปีสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 ต้นปีในรัชการที่ 4 สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พุก) ซึ่งเป็น ชาวเมืองนครชัยศรี "พระธรรมราชานุวัตร" ปกครองอยู่ที่วัดศาลาปูนวรวิหาร
(จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ท่านได้มรณภาพเสียก่อน จนฺทโชโต)
3 5 องค์ก็มี 3 5 องค์นั้นตรงกับคำว่า "ปัญจภาคีปาฏิหาริยกสินธุ์โน" ซึ่งได้มีการเล่าเป็นนิทานว่าในกาลครั้งหนึ่งมีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คน ชั้นโสดาบัน แม้จะตายไปแล้ว 5 องค์ได้ดับขันธ์ไปแล้วก็เข้าไปสถิตในพระพุทธรูปทั้ง 5 จึงได้พากันลอยน้ำลงมาตามลำน้ำทั้ง 5 สาย มีดังนี้
พระพุทธรูปองค์ที่ 1 ลอยไปตามแม่น้ำบางปะกงขึ้นสถิตที่วัดโสธรวรวิหารเมืองแปดริ้วจังหวัดฉะเชิงเทราเรียกกันว่า "หลวงพ่อโสธร"
พระพุทธรูปองค์ที่ 2 ลอยไปตามแม่น้ำนครชัยศรี เรียกกันว่า
3 เรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดบางพลี" แต่บางตำนานก็ว่า 5 องค์จึงเรียกว่า "หลวงพ่อโตวัดบางพลี"
พระพุทธรูปองค์ที่ 4 ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลองขึ้นสถิตที่วัดบ้านแหลมเมืองแม่กลองเรียกว่า
5 ลอยไปตามแม่น้ำเพชรบุรี เรียกว่า
มีพระ 3 องค์ลอยน้ำมาพร้อมกัน ซึ่งมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่จึงได้เรียกตำบลนั้นว่า "บางพระ" พระพุทธรูปที่ 3 จึงเรียกตำบลนั้นว่า "สามประทวน" หรือ "สัมปทวน" ณ หมู่บ้านของตน แต่ทำไม่สำเร็จ "บ้านลานตากฟ้า" และ "บ้านตากแดด" ณ วัดไร่ขิงเรียกกันว่า "หลวงพ่อวัดไร่ขิง" ส่วนองค์ที่ 2 เรียกว่า "หลวงพ่อวัดบ้านแหลม" และองค์ที่ 3 ลอยตามน้ำไปตามจังหวัดเพชรบุรีแล้วขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเคราเรียกว่า "หลวงพ่อวัดเขาตะเครา
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (ไทย) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
พระพุทธรูปองค์ที่ 5 ลอยไปตามแม่น้ำเพชรบุรีขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเคราเมืองเพชรบุรีเรียกว่า " หลวงพ่อวัดเขาตะเครา "
องค์หลวงพ่อวัดไร่ขิงเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก 2 นิ้วเศษสูง 4 ศอก 16 นิ้วเศษประดิษฐานอยู่บนฐานอยู่บนฐานชุกชี 5 ชั้นหันพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ( ทิศเหนือ ) ซึ่งหน้าวัดมีแม่น้ำนครชัยศรีหรือแม่น้ำท่าจีนไหลผ่านจากหนังสือประวัติของวัดไร่ขิงได้กล่าวไว้ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( พุก ) ได้อัญเชิญมาจากวัดศาลาปูนเมื่อถึงหน้าวัดไร่ขิงจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ภายในอุโบสถตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 ซึ่งเป็นวันสงกรานต์พอดีจึงมีประชาชนจำนวนมากมาชุมนุมกันในขณะที่อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นจากแพความร้อนระอุในวันสงกรานต์ก็บังเกิดมีเมฆดำมืดทะมึนลมปั่นป่วนฟ้าคะนองและบันดาลให้มีฝนโปรยลงมาทำให้เกิดความเย็นฉ่ำและเกิดความปิติยินดีกันโดยทั่วหน้าว่า " หลวงพ่อจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขดับความร้อนร้ายคลายความทุกข์ให้หมดไปดุจสายฝนที่เมทนีดลให้ชุ่มฉ่ำเจริญงอกงามด้วยธัญญาหารฉะนั้น " ดังนั้นทางวัดจึงได้ถือเป็นวันสำคัญและได้จัดให้มีงานเทศกาลนมัสการปิดทองประจำปีหลวงพ่อวัดไร่ขิงสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ตำนานหลวงพ่อวัดไร่ขิงนั้นจากคำบอกเล่าสืบต่อกันมาหรือที่เรียกว่า " มุขปาฐะ " มีหลายตำนานดังนี้
ตำนานที่ 1 ครั้งเมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( พุก ) ชาวเมืองนครชัยศรีได้มาตรวจเยี่ยมวัดในเขตอำเภอสามพรานได้เข้าไปในพระอุโบสถวัดไร่ขิงหลังจากกราบพระประธานแล้วมีความเห็นว่าพระประธานมีขนาดเล็กเกินไปจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยวางลงบนแบบไม้ไผ่และนำล่องมาตามลำน้ำและอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถตรงกับวันพระขึ้น 15 ค่ำเดือนวันสงกรานต์พอดี
5ตำนานที่ 2 วัดไร่ขิงสร้างเมื่อปีกุนพุทธศักราช 2083 ตรงกับปีสุดท้ายในรัชกาลที่ 3 ต้นปีในรัชการที่ 4 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( พุก ) ซึ่งเป็นชาวเมืองนครชัยศรีในขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่ " พระธรรมราชานุวัตร "จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้กลับมาสร้างวัดที่บ้านเกิดของตนที่ไร่ขิงเมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูป
สำคัญองค์หนึ่งจากกรุงเก่า ( จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ) มาเพื่อประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถแต่การสร้างยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ท่านได้มรณภาพเสียก่อนส่วนงานที่เหลืออยู่พระธรรมราชานุวัตร ( อาจจนฺทโชโต )และบูรณะดูแลมาโดยตลอดจนถึงแก่มรณภาพ
ตำนานที่ 3 ตามตำนานเป็นเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับมีพระพุทธรูปลอยน้ำมา 5 องค์ก็มี 3 องค์ก็มีโดยเฉพาะในเรื่องที่เล่าว่ามี 5 องค์นั้นตรงกับคำว่า " ปัญจภาคีปาฏิหาริยกสินธุ์โน "ในกาลครั้งหนึ่งมีพี่น้องชาวเมืองเหนือ 5 คนได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจนสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบันมีฤทธิ์อำนาจทางจิตมากได้พร้อมใจกันตั้งสัตย์อธิษฐานว่าแม้จะตายไปแล้วก็จะขอสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้ได้พ้นทุกข์ต่อไปจนกว่าจะถึงพระนิพานครั้งพระอริยบุคคลทั้ง 5 องค์ได้ดับขันธ์ไปแล้วก็เข้าไปสถิตในพระพุทธรูปทั้ง 5จึงได้พากันลอยน้ำลงมาตามลำน้ำทั้ง 5 สายเมื่อชาวบ้านตามเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำเห็นเข้าจึงได้อัญเชิญและประดิษฐานไว้ตามวัดต่างๆมีดังนี้
พระพุทธรูปองค์ที่ 1 ลอยไปตามแม่น้ำบางปะกงขึ้นสถิตที่วัดโสธรวรวิหารเมืองแปดริ้วจังหวัดฉะเชิงเทราเรียกกันว่า " หลวงพ่อโสธร "
พระพุทธรูปองค์ที่ 3 ลอยไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสถิตที่วัดบางพลีเรียกกันว่า " หลวงพ่อวัดบางพลี " แต่บางตำนานก็ว่าหลวงพ่อวัดบางพลีเป็นองค์แรกในจำนวนองค์จึงเรียกว่า " หลวงพ่อโตวัดบางพลี "
5พระพุทธรูปองค์ที่ 2 ลอยไปตามแม่น้ำนครชัยศรี ( ท่าจีน ) ขึ้นสถิตที่วัดไร่ขิงเมืองนครชัยศรีเรียกกันว่า " หลวงพ่อวัดไร่ขิง "
พระพุทธรูปองค์ที่ 4 ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลองขึ้นสถิตที่วัดบ้านแหลมเมืองแม่กลองเรียกว่า " หลวงพ่อวัดบ้านแหลม "
พระพุทธรูปองค์ที่ 5 ลอยไปตามแม่น้ำเพชรบุรีขึ้นสถิตที่วัดเขาตะเคราเมืองเพชรบุรีเรียกว่า " หลวงพ่อวัดเขาตะเครา "
ส่วนตำนานของเมืองนครปฐมนั้นเล่าว่ามีพระ 3 องค์ลอยน้ำมาพร้อมกันและแสดงปาฏิหาริย์จะเข้าไปยังบ้านศรีมหาโพธิ์ซึ่งมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่จึงได้เรียกตำบลนั้นว่า " บางพระ " พระพุทธรูป 3จึงเรียกตำบลนั้นว่า " สามประทวน " ค็อค " สัมปทวน " แต่เนื่องจากตำบลที่ชาวบ้านพากันไปชักพระขึ้นฝั่งเพื่อขึ้นประดิษฐานณหมู่บ้านของตนแต่ทำไม่สำเร็จต้องเปียกฝนและตากแดดตากลมจึงได้ชื่อว่า " บ้านลานตากฟ้า " และในที่สุดพระพุทธรูปองค์แรกจึงยอมสถิตณวัดไร่ขิงเรียกกันว่า " หลวงพ่อวัดไร่ขิง " ส่วนองค์ที่ 2 ลอยน้ำไปแล้วสถิตขึ้นที่วัดบ้านแหลมจังหวัดสมุทรสงครามเรียกว่า " หลวงพ่อวัดบ้านแหลม " และองค์ที่ 3
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: