Western imperialism in Asia as pres

Western imperialism in Asia as presented in this article pertains to Western European entry into what was first called the East Indies. This was sparked early in the 15th century by the search for trade routes to China that led directly to the Age of Discovery, and the introduction of early modern warfare into what was then called the Far East. By the early 16th century the Age of Sail greatly expanded Western European influence and development of the Spice Trade under colonialism. There has been a presence of Western European colonial empires and imperialism in Asia throughout six centuries of colonialism, formally ending with the independence of the Portuguese Empire's last colony East Timor in 2002. The empires introduced Western concepts of nation and the multinational state. This article attempts to outline consequently development of the Western concept of the nation state.

The thrust of European political power, commerce, and culture in Asia gave rise to growing trade in commodities—a key development in the rise of today's modern world free market economy. In the 16th century, the Portuguese broke the (overland) monopoly of the Arabs and Italians of trade between Asia and Europe by the discovery of the sea route to India around the Cape of Good Hope.[1] With the ensuing rise of the rival Dutch East India Company, Portuguese influence in Asia was gradually eclipsed.[nb 1] Dutch forces first established independent bases in the East (most significantly Batavia, the heavily fortified headquarters of the Dutch East India Company) and then between 1640 and 1660 wrestled Malacca, Ceylon, some southern Indian ports, and the lucrative Japan trade from the Portuguese. Later, the English and the French established settlements in India and established a trade with China and their own acquisitions would gradually surpass those of the Dutch. Following the end of the Seven Years' War in 1763, the British eliminated French influence in India and established the British East India Company as the most important political force on the Indian Subcontinent.

Before the Industrial Revolution in the mid-to-late 19th century, demand for oriental goods such as (porcelain, silk, spices and tea) remained the driving force behind European imperialism, and (with the important exception of British East India Company rule in India) the European stake in Asia remained confined largely to trading stations and strategic outposts necessary to protect trade. Industrialisation, however, dramatically increased European demand for Asian raw materials; and the severe Long Depression of the 1870s provoked a scramble for new markets for European industrial products and financial services in Africa, the Americas, Eastern Europe, and especially in Asia. This scramble coincided with a new era in global colonial expansion known as "the New Imperialism," which saw a shift in focus from trade and indirect rule to formal colonial control of vast overseas territories ruled as political extensions of their mother countries. Between the 1870s and the beginning of World War I in 1914, the United Kingdom, France, and the Netherlands — the established colonial powers in Asia — added to their empires vast expanses of territory in the Middle East, the Indian Subcontinent, and South East Asia. In the same period, the Empire of Japan, following the Meiji Restoration; the German Empire, following the end of the Franco-Prussian War in 1871; Tsarist Russia; and the United States, following the Spanish-American War in 1898, quickly emerged as new imperial powers in East Asia and in the Pacific Ocean area.

In Asia, World War I and World War II were played out as struggles among several key imperial powers—conflicts involving the European powers along with Russia and the rising American and Japanese powers. None of the colonial powers, however, possessed the resources to withstand the strains of both world wars and maintain their direct rule in Asia. Although nationalist movements throughout the colonial world led to the political independence of nearly all of the Asia's remaining colonies, decolonisation was intercepted by the Cold War; and South East Asia, South Asia, the Middle East, and East Asia remained embedded in a world economic, financial, and military system in which the great powers compete to extend their influence. However, the rapid post-war economic development of the East Asian Tigers, India, the People's Republic of China, along with the collapse of the Soviet Union, have loosened European and North American influence in Asia, generating speculation today about emergence of modern India and China as potential superpowers.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกในเอเชียนำเสนอในบทความนี้เกี่ยวข้องกับรายการยุโรปตะวันตกเป็นสิ่งแรกถูกเรียกว่าหมู่เกาะอินเดียตะวันออก นี้ได้จุดประกายในช่วงศตวรรษ 15 โดยการค้นหาเส้นทางการค้ากับจีนที่นำโดยตรงกับอายุค้นพบ การแนะนำของสงครามสมัยก่อนเป็นอะไรแล้วถูกเรียกว่าตะวันออกไกล โดยศตวรรษ 16 ก่อน อายุของใบมากขยายอิทธิพลยุโรปตะวันตกและการพัฒนาของการค้าเครื่องเทศภายใต้ลัทธิอาณานิคม มีสถานะของจักรวรรดิอาณานิคมยุโรปตะวันตกและลัทธิจักรวรรดินิยมในเอเชียตลอดทั้งศตวรรษที่หกของอาณานิคม สิ้นสุดอย่างเป็นกิจจะลักษณะ มีความเป็นอิสระของการล่าอาณานิคมของจักรวรรดิโปรตุเกสติมอร์ตะวันออกในปี 2002 จักรวรรดิที่นำแนวคิดตะวันตกของประเทศและข้ามชาติรัฐ บทความนี้พยายามเค้าจึงพัฒนาแนวความคิดตะวันตกของรัฐประชาชาติกระตุก ของอำนาจทางการเมืองยุโรป พาณิชย์ วัฒนธรรมในเอเชียให้การเติบโตทางการค้าในสินค้าโภคภัณฑ์ — การพัฒนาสำคัญในเพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจตลาดเสรีสมัยใหม่โลกวันนี้ โปรตุเกสที่ยากจนการผูกขาด (ขับ) ของอาหรับและชาวอิตาลีของการค้าระหว่างเอเชียและยุโรปโดยการค้นพบเส้นทางทะเลไปอินเดียสถานแหลมกู๊ดโฮปในศตวรรษที่ 16[1] มีเพิ่มขึ้นเพราะของคู่แข่ง บริษัทอินเดียตะวันออกเนเธอร์แลนด์ อิทธิพลของโปรตุเกสในเอเชียถูกค่อย ๆ ได้[nb 1] ดัตช์บังคับก่อนก่อตั้งฐานอิสระในภาคตะวันออก (การประชุมมากที่สุด ธาตุหนักสำนักงานใหญ่ของ บริษัทดัตช์อีสต์อินเดีย) แล้ว ระหว่าง 1640 และรวม wrestled มะละกา ซีลอน บางพอร์ตอินเดียใต้ และการค้าญี่ปุ่นร่ำรวยจากที่โปรตุเกส ภายหลัง ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสก่อตั้งจ่ายในอินเดีย และการค้ากับประเทศจีนก่อตั้งขึ้น และซื้อของตนเองจะค่อย ๆ เกินของดัตช์ที่ ต่อไปนี้การสิ้นสุดของสงครามปีเจ็ดใน 1763 อังกฤษตัดอิทธิพลของฝรั่งเศสในอินเดีย และก่อตั้ง บริษัทอินเดียตะวันออกอังกฤษเป็นแรงทางการเมืองสำคัญในอนุทวีปอินเดียก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 ช่วงกลางถึงปลาย ความต้องการสินค้าโอเรียนทอล (เครื่องเคลือบดินเผา ผ้าไหม เครื่องเทศ และชา) ยังคง เป็นแรงผลักดันอยู่เบื้องหลังลัทธิจักรวรรดินิยมยุโรป และ (มีข้อยกเว้นที่สำคัญของ บริษัทอินเดียตะวันออกอังกฤษกฎในอินเดีย) เดิมพันยุโรปในเอเชียยังคงจำกัดส่วนใหญ่การค้าสถานี outposts กลยุทธ์ที่จำเป็นในการปกป้องทางการค้า Industrialisation อย่างมากเพิ่มขึ้นแต่ความต้องการดิบเอเชีย ยุโรป และที่ภาวะซึมเศร้ายาวรุนแรง 1870s ท่านช่วงชิงในตลาดใหม่สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมยุโรปและบริการทางการเงิน ในทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกา ยุโรปตะวันออก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเอเชีย ช่วงชิงนี้ร่วมกับยุคใหม่ในการขยายอาณานิคมทั่วโลกเรียกว่า "เดอะใหม่ลัทธิจักรวรรดินิยม ที่เห็นกะในโฟกัสจากการค้าและกฎทางอ้อมการควบคุมโคโลเนียลอย่างเป็นทางการของดินแดนต่างประเทศมากมายที่ปกครองเป็นนามสกุลทางการเมืองของประเทศแม่ของตน ระหว่าง 1870s และจุดเริ่มต้น ของสงครามโลกใน 1914 สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ – อำนาจอาณานิคมขึ้นในเอเชีย — เพิ่มมหาสมุทรกว้างใหญ่ของจักรวรรดิดินแดน ในตะวันออกกลาง อนุ ทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงเวลาเดียวกัน จักรวรรดิญี่ปุ่น ต่อคาง จักรวรรดิเยอรมัน ต่อไปนี้จุดสิ้นสุดของสงคราม-ปรัสเซียใน 1871 Tsarist รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา ต่อสงครามสเปน-อเมริกันใน 1898 อย่างรวดเร็วเกิดเป็นอำนาจอิมพีเรียลใหม่ ในเอเชียตะวันออก และ ในบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกในเอเชีย สงครามโลกและสงครามโลกครั้งที่สองถูกเล่นออกมาเป็นการต่อสู้ระหว่างอำนาจอิมพีเรียลหลายคีย์ซึ่งความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับอำนาจยุโรปกับรัสเซียและอำนาจสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอำนาจอาณานิคม ต้องทรัพยากรเพื่อทนต่อสายพันธุ์ของสงครามโลกทั้งสอง และรักษากฎของพวกเขาโดยตรงในเอเชีย แม้ว่าความเคลื่อนไหวของทั่วโลกโคโลเนียลที่นำไปสู่เอกราชทางการเมืองเกือบทั้งหมดของอาณานิคมที่เหลือของเอเชีย decolonisation ถูกดัก โดยสงครามเย็น และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออกยังคงฝังตัวในโลกการเงิน เศรษฐกิจ และระบบทางทหารอำนาจดีแข่งขันเพื่อขยายอิทธิพล อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอย่างรวดเร็วหลังสงครามเศรษฐกิจของเสือเอเชียตะวันออก อินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต มีหลวมมีอิทธิพลยุโรปและอเมริกาเหนือในทวีปเอเชีย สร้างเก็งกำไรวันนี้เกี่ยวกับการเกิดขึ้นแห่งอินเดียและจีนเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีศักยภาพ

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ตะวันตกจักรวรรดินิยมในเอเชียที่นำเสนอในบทความนี้เกี่ยวข้องกับยุโรปตะวันตกเข้าสู่สิ่งที่แรกเรียกว่าอินเดียตะวันออก . นี่เป็นจุดแรกในศตวรรษที่ 15 โดยการค้นหาเส้นทางการค้ากับจีนซึ่งนำโดยตรงกับอายุของการค้นพบและการแนะนำของสงครามสมัยใหม่ในสิ่งที่ถูกเรียกว่าตะวันออกไกลโดยศตวรรษที่ 16 ก่อนยุคเรือใบขยายอย่างมากในยุโรปตะวันตกและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาของการค้าเครื่องเทศภายใต้การล่าอาณานิคม มีการแสดงตนของจักรวรรดิอาณานิคมตะวันตกยุโรปและลัทธิจักรวรรดินิยมในเอเชียตลอดหกศตวรรษของลัทธิอาณานิคมอย่างเป็นทางการสิ้นสุดกับความเป็นอิสระของจักรวรรดิอาณานิคมของโปรตุเกสเมื่อติมอร์ตะวันออกในปี 2002อาณาจักรที่แนะนำแนวคิดตะวันตกของประเทศ และรัฐ ข้ามชาติ บทความนี้พยายามที่จะร่างจึงพัฒนาแนวคิดตะวันตกของรัฐประชาชาติ

แทงของอำนาจทางการเมืองในยุโรปการค้าและวัฒนธรรมในเอเชียให้สูงขึ้นเพื่อการค้าในการพัฒนาที่สำคัญในการเพิ่มขึ้นของ commodities-a วันนี้โลกสมัยใหม่เศรษฐกิจตลาดเสรี . ในศตวรรษที่ 16โปรตุเกสบุก ( บก ) การผูกขาดของชาวอาหรับและชาวอิตาเลียนของการค้าระหว่างเอเชียและยุโรป โดยการค้นพบเส้นทางเดินเรือไปอินเดียรอบแหลมกู๊ดโฮป . [ 1 ] กับการเพิ่มขึ้นของคู่แข่งอย่างบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ , โปรตุเกสอิทธิพลในเอเชียก็ค่อยๆ บดบัง [ NB ] กองกำลังชาวดัตช์แรกก่อตั้งฐานอิสระในตะวันออกมากที่สุดเวียพวกมันแข็งแกร่งมาก สำนักงานใหญ่ของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ ) แล้วระหว่าง 1640 1660 เองและมะละกา ซีลอน พอร์ตอินเดียใต้บางคน และ lucrative ญี่ปุ่นการค้าจากโปรตุเกส ต่อมา อังกฤษและฝรั่งเศสที่ก่อตั้งอาณานิคมในอินเดีย และสร้างการค้ากับจีน และการซื้อกิจการของตนเองจะค่อยๆเกินเหล่านั้นของชาวดัตช์หลังสิ้นสุดสงครามเจ็ดปี 1763 ใน อังกฤษ ตกรอบอิทธิพลฝรั่งเศสในอินเดีย และก่อตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษเป็นพลังทางการเมืองที่สำคัญที่สุดบนคาบสมุทรอินเดีย

ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 19 , อุปสงค์สำหรับสินค้าตะวันออกเช่น ( พอร์ซเลน , ผ้าไหมเครื่องเทศชาและยังคงเป็นแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังลัทธิจักรวรรดินิยมยุโรป ( ยกเว้นกฎสำคัญของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษในอินเดีย ) หุ้นยุโรปในเอเชียยังคงถูกคุมขังไปสถานีซื้อขาย และ นายทวาร เชิงกลยุทธ์ที่จำเป็นเพื่อปกป้องการค้า อุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ความต้องการวัตถุดิบเพิ่มขึ้นอย่างมากในยุโรปเอเชียและภาวะซึมเศร้ายาวรุนแรงของ 1850 กระตุ้นเพื่อช่วงชิงตลาดใหม่สำหรับอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินในยุโรป แอฟริกา อเมริกา และยุโรป โดยเฉพาะในเอเชีย การช่วงชิงนี้ประจวบเหมาะกับศักราชใหม่ในการขยายอาณานิคมทั่วโลกที่รู้จักกันเป็น " จักรวรรดินิยมใหม่" ซึ่งได้เห็นการเปลี่ยนโฟกัสจากการค้าและทางอ้อมกฎควบคุมอาณานิคมอย่างเป็นทางการของดินแดนโพ้นทะเลมากมายปกครองเป็นส่วนขยายทางการเมืองของประเทศแม่ของพวกเขา ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1850 และจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งใน 2457 , สหราชอาณาจักร , ฝรั่งเศส และ เนเธอร์แลนด์ - ก่อตั้งอาณานิคมในเอเชีย - เพิ่มอำนาจของจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ของดินแดนในตะวันออกกลางคาบสมุทรอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงเวลาเดียวกัน จักรวรรดิของญี่ปุ่น หลังฟื้นฟูเมจิ ; เยอรมันจักรวรรดิ หลังสิ้นสุดสงครามฟรังโกปรัสเซียใน 2414 ; ซาร์รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา หลังสงครามสเปนอเมริกันใน 1898 , อย่างรวดเร็วกลายเป็นพลังจักรพรรดิใหม่ในเอเชียตะวันออก และในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิก .

ในเอเชียสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และสงครามโลกครั้งที่สองถูกเล่นออกมาเป็นการต่อสู้ระหว่างหลายคีย์อิมพีเรียลพลังความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับพลังพร้อมกับยุโรปและรัสเซียเพิ่มขึ้นอเมริกันและญี่ปุ่นใช้พลัง ไม่มีของอาณานิคมอำนาจ อย่างไรก็ตาม มีทรัพยากรที่จะทนต่อสายพันธุ์สงครามโลกทั้งสอง และรักษากฎของพวกเขาโดยตรงในเอเชียแม้ว่าความเคลื่อนไหวทั่วโลกอาณานิคมไปสู่อิสรภาพทางการเมืองของเกือบทั้งหมดของเอเชียที่เหลืออาณานิคม การบำเพ็ญทุกรกิริยาถูกสกัดกั้นโดยสงครามเย็น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ , เอเชียใต้ , ตะวันออกกลาง และ เอเชียตะวันออกยังคงฝังตัวอยู่ในโลกเศรษฐกิจ การเงิน และทหารระบบที่มหาอำนาจแข่งขันขยายอิทธิพลของตน อย่างไรก็ตามโพสต์ - สงครามอย่างรวดเร็วการพัฒนาเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเสือ อินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ได้คลายยุโรปและอเมริกาอิทธิพลในเอเชีย สร้างข่าววันนี้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของอินเดียสมัยใหม่ และประเทศจีนเป็นมหาอำนาจที่มีศักยภาพ