in the 1930s, it resulted in erosio

in the 1930s, it resulted in erosion and loss of topsoil because of farming practices of the time. The drought dried the topsoil and over time it became friable, reduced to a powdery consistency in some places. Without the indigenous grasses in place, the high winds that occur on the plains picked up the topsoil and created the massive dust storms that marked the Dust Bowl period.[15] The persistent dry weather caused crops to fail, leaving the plowed fields exposed to wind erosion. The fine soil of the Great Plains was easily eroded and carried east by strong continental winds.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ในช่วงทศวรรษ 1930 มันให้พังทลายและการสูญเสียของ topsoil เนื่องจากเกษตรปฏิบัติแล้ว ฤดูแล้งแห้ง topsoil และช่วงเวลา เป็น friable ลดความสอดคล้องของทรายขาวละเอียดในบางสถาน ไม่ มีหญ้าพื้นเมืองใน ลมที่เกิดขึ้นบนราบสูงขึ้นการ topsoil และสร้างพายุฝุ่นขนาดใหญ่ที่ทำเครื่องหมายระยะฝุ่นชาม[15] แบบแห้งอากาศเกิดพืชล้ม ปล่อยฟิลด์ plowed ตากลมกัดเซาะ ดินดีของราบดีถูกกัดเซาะได้ง่าย และขนส่งตะวันออก โดยแรงลมคอนติเนนทัล

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ก็ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะและการสูญเสียหน้าดินเพราะการเลี้ยงของเวลา ภัยแล้งแห้งดินและเมื่อเวลาผ่านไปมันจะกลายเป็นกรอบลดลงแป้งสอดคล้องในบางสถานที่ โดยไม่ต้องหญ้าพื้นเมืองในสถานที่ลมสูงที่เกิดขึ้นบนที่ราบหยิบขึ้นมาดินและสร้างพายุฝุ่นขนาดใหญ่ที่มีการทำเครื่องหมายระยะเวลาฝุ่นชาม. [15] สภาพอากาศแห้งถาวรที่เกิดจากพืชที่จะล้มเหลวออกจากสนามไถสัมผัสกับ การพังทลายของลม ดินที่ดีของ Great Plains ถูกกัดเซาะอย่างง่ายดายและดำเนินการทางทิศตะวันออกโดยลมทวีปที่แข็งแกร่ง

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ทำให้การกัดเซาะและการสูญเสียดิน เพราะการฝึกของเวลา แล้งดินแห้ง และเมื่อเวลาผ่านไปมันกลายเป็นเปราะ , ลดเพื่อความละเอียดในบางสถานที่ ไม่มีหญ้าพื้นเมืองในสถานที่สูง ลมที่เกิดขึ้นบนที่ราบไปรับดินและสร้างขนาดใหญ่พายุฝุ่นที่เครื่องหมายฝุ่นชามระยะเวลา[ 15 ] อากาศแห้งแบบถาวร ทำให้พืชขาดออกจากไถเขตสัมผัสของลม ดินดีของที่ราบสามารถกัดเซาะโดยลมตะวันออกหอบแบบแข็งแรง