พุทธปรัชญา (Buddhism)
พุทธปรัชญาการศึกษา มาจากคำว่า Buddhishic Philosophy of Education ซึ่งได้แนวคิดมาจากพระพุทธศาสนา (Buddhism) จากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธจ้า และปรัชญาการศึกษาอื่นๆ การศึกษาในพุทธปรัชญา คือ การศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริง เข้าใจความหมายของชีวิต ทั้งดำรงชีวิตให้สอดคล้องสัมพันธ์กับความจริง
พุทธปรัชญา ได้นำหลักเหตุและผลไปวิเคราะห์และอธิบายความจริงและความเป็นไปของสิ่งทั้งหลายในโลก ได้ชี้แนะให้ทราบว่าอะไรคือความเป็นเลิศ หรือความดีที่พึ่งปรารถนาในชีวิต และจะศึกษาปฏิบัติให้เป็นผลได้อย่างไร
พุทธปรัชญา หมายถึง ความรู้อันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วหรือพุทธธรรม
ความเป็นมาของพุทธปรัชญา
พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ และได้หล่อหลอมเป็นวิถีดำเนินชีวิตของคนไทย จึงเห็นควรให้พุทธปรัชญาการศึกษาเป็นปรัชญาการศึกษาที่มีพื้นฐานอยู่บนความเป็นไทย ผู้รู้ที่สนับสนุนให้พิจารณาปรัชญาการศึกษาไทยบนพื้นฐานของพุทธปรัชญา เช่น ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ท่านพุทธทาสภิกขุ พระเทพเวที พระราชวรมุนี สุลักษณ์ ศิวรักษ์ และเอกวิทย์ ณ ถลาง เป็นต้น พระพุทธเจ้าชี้ให้เห็นถึงความจริงหรือสัจธรรมในหลักไตรลักษณ์ ซึ่งได้แก่
• อนิจจัง คือ ความเป็นของไม่เที่ยง
• ทุกขัง คือ ความเป็นทุกข์
• อนัตตา คือ ความเป็นของไม่ใช่ตน
โลกและชีวิตเป็นอนิจจังไม่มีอะไรแน่นอน มนุษย์จึงไม่ควรติดอยู่กับวัตถุหรือมุ่งแสวงหาแต่ความสุขทางวัตถุ เพราะชีวิตแท้จริงแล้วเป็นทุกข์ เพราะประกอบด้วยสิ่งต่างๆ อันเป็นของไม่เที่ยง คือ ขันธ์ 5 ได้แก่
1. รูป คือ ร่างกาย รวมทั้งคุณสมบัติและพฤติกรรมทั้งปวง
2. เวทนา คือ อารมณ์ทุกข์และสุขของมนุษย์
3. สัญญา คือ การเรียนรู้ ความจำ
4. สังขาร คือ องค์ประกอบทางจิตที่คอยปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่ว ได้แก่ เจตคติ ค่านิยม ความตั้งใจ ความสนใจ ซึ้งประกอบกันขึ้นเป็นแรงขับให้มีการกระทำ
5. วิญญาณ คือ การรับรู้เกิดจากประสาทสัมผัสโดยตรง
มนุษย์เป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตนที่แท้จริงที่เห็นว่าเป็นตัวตนอยู่นี้ก็เพราะว่าองค์ประกอบทั้ง 5 มารวมกันอยู่ในกระแสแห่งการเกิดดับ ซึ่งเป็นไปตามหลักปฏิจสมุปบาท คือ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกฎเหตุและผลหรือเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์
พุทธปรัชญาการศึกษา คือ การพัฒนาขันธ์ 5 เพื่อให้ความโง่เขลาของผู้เรียนลดน้อยลงและหมดไปในที่สุด และให้อยู่ในสังคมอย่างเป็นคนเก่ง คนดี และคนมีความสุขในโลกปัจจุบันและอนาคต
อิทธิบาท 4 คือ สิ่งซึ่งมีคุณธรรมให้บรรลุถึงความสำเร็จตามที่ตนประสงค์ ประกอบด้วย
1. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น
2. วิริยะ ความพากเพียรในสิ่งนั้น
3. จิตตะ ความเอาใจใส่ ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น
4. วิมังสา ความหมั่นสอดส่องในเหตุผลของสิ่งนั้น
อริยสัจ 4
• ทุกข์ คือ ความทุกข์ของมนุษย์เองที่เกิดขึ้นในชีวิต
• สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหาหรืออยาก ที่ยึดถือเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง
• นิโรธ คือ ความดับทุกข์
• มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์มี 8 ประการ คือ
1. สัมมาทิฐิ คือ การคิดชอบ ความเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ คือ การทำใจชอบ ดำริชอบ
3. สัมมาวาจา คือ กล่าวชอบ
4. สัมมากัมมันตะ คือ การงานชอบ
5. สัมมาอาชีวะ คือ อาชีพในทางที่ชอบ
6. สัมมาวายามะ คือ ความพยายามชอบ
7. สัมมาสติ คือ ตั้งสติชอบ
8. สัมมาสมาธิ คือ ความเพ่งอารมณ์ชอบ
ขั้นของอริยสัจ 4
1. ขั้นทุกข์ ชีวิตนี้เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง
2. ขั้นสมุทัย สาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา
3. ขั้นนิโรธ การดับทุกข์
4. ขั้นมรรค หนทางดับทุกข์
วิถีพุทธ หมายถึง แนวทางดำเนินชีวิตแบบชาวพุทธ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมแบบชาวพุทธ โดยมีหลักธรรมที่เป็นเครื่องแสดงถึงความเป็นวิถีชีวิตแบบพุทธ นั่นคือ มรรคมีองค์แปด สรุปลงในไตรสิกขาได้
สัมมาทิฐิ – ความเห็นชอบ
สัมมาสังกัปปะ – ความดำริชอบ
สัมมาวาจา – วาจาชอบ
สัมมากัมมันตะ – การกระทำชอบ
สัมมาอาชีวะ – เลี้ยงชีพชอบ
สัมมาวายามะ – พยายามชอบ
สัมมาสติ – ระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ - ตั้งจิตชอบ
โยนิโสมนสิการ
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ ปยุตฺโต) ให้ความหมายว่า การทำในใจโดยแยบคาย, กระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย, การพิจารณาโดยแยบคาย คือการพิจารณาความจริงโดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะจนมองเห็นตัวสภาวะและความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยหรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่ว ยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบซึ้งจะมีเกิดอวิชชาปละตัณหา, ความรู้จักคิด, คิดถูกวิธี