AbstractThe purpose of this study w

Abstract

The purpose of this study was to identify health beliefs, self-care behaviors and the relation between health beliefs and self-care behaviors of 30 tuberculosis patients who attended at a tuberculosis clinic of Maelao Hospital, 2012. A descriptive correlational research were collected data by questionnaire according to health beliefs model. The reliability of a research was determined using Cronbach’s coefficient alpha. The data were analyzed by a descriptive statistics and Pearson’s product moment correlation coefficient.

The results showed that 76.67% of tuberculosis patients were male, 73.33% were in worked age, 63.33% had a primary education, 70.00 % were married , 66.67% had a single family, 36.67% had no income or had less income than 25,000 baht per year and most of them had never be sick as tuberculosis. The total of health beliefs and self-care behaviors were measured at good level. There was not a significant correlation between the total of health beliefs and self-care behaviors of Tuberculosis Patient at .05 level (r= .344, p= .062).

The results of this research provided necessary and useful basic information used to improve the effective and service system of tuberculosis clinic.

Keywords : Tuberculosis Patients, Health Belief, Self-care Behaviors

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

บทคัดย่อวัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือการ ระบุความเชื่อสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยวัณโรค 30 ผู้มาร่วมงานที่คลินิกวัณโรคของโรงพยาบาล Maelao, 2012 วิจัย correlational อธิบายได้รวบรวมข้อมูล โดยแบบสอบถามตามรูปแบบความเชื่อด้านสุขภาพ ความน่าเชื่อถือของการวิจัยได้กำหนดใช้อัลฟาของ Cronbach สัมประสิทธิ์ มีวิเคราะห์ข้อมูล ด้วยสถิติพรรณนาและสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันผลิตภัณฑ์ ผลพบว่า 76.67% ของผู้ป่วยวัณโรคมีชาย 73.33% อยู่ในวัยทำงาน 63.33% ได้ศึกษาหลัก 70.00% ได้แต่งงาน 66.67% มีครอบครัวเดี่ยว 36.67% ก็ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้น้อยกว่า 25000 บาท ต่อปี และส่วนใหญ่จะได้ไม่ป่วยเป็นวัณโรค มีวัดผลรวมของความเชื่อสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพในระดับดี ไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างผลรวมของความเชื่อสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วยวัณโรคที่ระดับ.05 (r =.344, p =.062).ผลการวิจัยนี้มีความจำเป็น และประโยชน์ข้อมูลพื้นฐานใช้ในการปรับปรุงมีประสิทธิภาพ และบริการระบบคลินิกวัณโรคคำสำคัญ: วัณโรคผู้ป่วย ความเชื่อสุขภาพ สุขภาพพฤติกรรม

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

นามธรรม

วัตถุประสงค์ของการศึกษานี้คือ เพื่อศึกษาความเชื่อด้านสุขภาพ พฤติกรรมการดูแลตนเอง และความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยวัณโรคที่มารับ 30 ที่คลินิกวัณโรค โรงพยาบาล maelao 2012 สัมพันธ์เชิงพรรณนา เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามการวิจัยตามรูปแบบความเชื่อด้านสุขภาพความน่าเชื่อถือของงานวิจัยที่ใช้วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์ครอนบาคแอลฟา . วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า

76.67 ของผู้ป่วยวัณโรคเป็นเพศชาย ร้อยละ 73.33 ในทำงานอายุสิ้นมีการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 70.00 แต่งงาน ร้อยละ 66.67 มีครอบครัวเดียว 3667 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีรายได้ หรือรายได้น้อย กว่า 25 , 000 บาทต่อปี และส่วนใหญ่ของพวกเขาไม่เคยป่วยเป็นวัณโรค รวมของความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลตนเองได้ในระดับดี ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลตนเองโดยรวมของผู้ป่วยวัณโรคอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ . 05 ( r = . 344 , p = . 062 ) .

ผลของงานวิจัยนี้ให้ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นและมีประโยชน์ที่ใช้เพื่อปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพ และบริการของคลินิกวัณโรค

คำสำคัญ : ผู้ป่วยวัณโรค ความเชื่อด้านสุขภาพ พฤติกรรมการดูแลตนเอง