นโยบายเศรษฐกิจ
1. นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของญี่ปุ่นอยู่ในภาวะที่อ่อนแอ และจากการที่เงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างมากในช่วงนี้ ถือเป็นสัญญาณอันตราย เนื่องจากอาจส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่อ่อนแออยู่แล้วยิ่งชะลอตัวไปอีก นายนาโอโตะ คัน แสดงความวิตกอย่างยิ่งต่อการแข็งค่าขึ้นอย่างมากของเงินเยน หลังจากที่เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ค่าเงินเยนขึ้นไปแตะที่ระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ ๑๕ ปีเมื่อเทียบเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งการที่เงินเยนแข็งค่าถือเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก เพราะจะลดทอนอำนาจการแข่งขันของสินค้าส่งออกญี่ปุ่นในตลาดต่างประเทศ และยังลดมูลค่าผลกำไรของบริษัทญี่ปุ่นที่มีกิจการในต่างประเทศเมื่อมีการแปลงมูลค่าสกุลเงินท้องถิ่นนั้น ๆกลับมาเป็นเงินเยน ด้านกระทรวงการค้าของญี่ปุ่นเปิดเผยว่าความต้องการด้านการบริการในเดือนสิงหาคม ของญี่ปุ่นปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ เดือน ซึ่งเป็นหลักฐานล่าสุดที่บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็นไปอย่างล่าช้า ทั้งนี้ ดัชนีความต้องการในภาคบริการของญี่ปุ่น (tertiary index) ประจ้าเดือนสิงหาคม ลดลงร้อยละ ๐.๒ หลังจากพุ่งขึ้นร้อยละ ๑.๖ ในเดือนกรกฎาคมรัฐบาลนายนาโอโตะ คัน ได้ประกาศจะใช้งบประมาณ ๙.๒๐ แสนล้านเยนจากกองทุนสำรองในปีงบประมาณ ๒๕๕๓ เพื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ภายในช่วงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓
นายกรัฐมนตรี ได้ตกลงอนุมัติแผนการดังกล่าวเพื่อต่อสู้กับเงินเยนที่แข็งค่า รวมถึงเพื่อรับมือกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐและหลายประเทศในยุโรป ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสินค้าของญี่ปุ่น โดยรัฐบาลญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับการสร้างงานและกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคเป็นล้าดับแรก ซึ่งหนึ่งในมาตรการที่จะนำมาใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้แก่ การให้ความช่วยเหลือบริษัทที่รับบัณฑิตจบใหม่เข้าท้างาน และการสนับสนุนบริษัทขนาดเล็กให้รับคนอายุน้อยที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาเข้าทำงาน
นอกจากนี้ รัฐบาลจะขยายโครงการ “eco-point” ออกไปจนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ จากเดิมที่จะหมดอายุลงในเดือนธันวาคม ปี๒๕๕๓นี้ เพื่อสนับสนุนการซื้ออุปกรณ์ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ได้ประกาศขยายวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำระยะ ๖ เดือนแก่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศ อีก ๑๐ ล้านล้านเยน (๑.๑๗ แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ)