Farmers in developing countries, fa

Farmers in developing countries, face numerous constraints to
marketing their products, resulting from high transaction costs in
the market chain. They have limited access to physical and financial
resources which restricts their opportunities to increase their scale
of production, reduce transaction costs and invest in efficiency
and environmentally sound technologies 1. It also creates a
problem of scale for effective product marketing, as there is lack
of resources for transport, handling and fixed investments. On
the other hand, lack of bargaining power and as a consequence
unequal distribution of value among the actors in the market chain,
especially with seasonal and perishable agricultural products,
probably exacerbate the problem. The situation gets even worse
with the unjust regulations in the global marketplace which
aggravate the potential risks of such a scenario. Although the
role of well-functioning markets for development is widely
recognized, however, the challenge remains to make these markets
benefit both the farmers and the environment 1.
Community supported agriculture (CSA), as a concept brought
by Jan Vander Tuin in 1984, is a constantly evolving approach to
both farm production and marketing that connects farmers with
consumers or shareholders in order to bridge the gap between the
two sides to achieve the twin goals of direct marketing and
sustainability. From the very outset, CSA shareholders who are
typically interested in the origins of their food as well as in the
progress and problems of agriculture, purchase a share of the
product from the farm prior to the season. This probably provides
the farmers with the opportunity to concentrate on production.
Also, it can be interpreted as a strong appreciation for farms and
for the linkage between farms and the environment on the
shareholders’ side 2, 3.
The demand for fresh, locally grown, organic food in the
community results further reliance on locally produced food rather
than dependence upon imported produce. As a consequence,
CSA farmers are more likely to focus on product and market
diversification by reducing chemical input use introducing new
food products and applying innovative marketing techniques.
Moreover, they try to maintain their economic variability by
mitigating various detrimental effects such as rising land prices
caused by competing land use and low price for their products 4.
Today, producers are more and more seeking new social and
economic basis for agriculture such as CSA, due to higher degree of
risk of organic agriculture which is assumed to be associated with
high costs of production and also to be more susceptible to pests
due to inability to intervene with fertilizer and biocide application 5, 6.
Bearing this in mind, producers can be benefited by CSA through
direct marketing and lower production costs, and also by spreading
risks over all shareholders. Consequently, in case of crop failure,
all shareholders rather than just the farmers absorb losses. In
turn, the rewards from an outstanding crop year do not only go to
the farmer but rather to all shareholders as well. Improved financial
credibility, reduced worries about price fluctuations while having
more options of buying equipment and supplies are some of the
advantages of such an approach, to name only a few 3, 4. In general
terms, the notion of CSA coincide with the following characteristics:
a seasonal supply of fresh, reasonably-priced produce (often
grown using organic methods); a direct relationship with the farmer
growing food; an opportunity to learn about agriculture and local
ecosystems; a community-building connection with farmers,
neighbors and landscapes 7.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนา เผชิญข้อจำกัดมากมายการตลาดผลิตภัณฑ์ของตน ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนธุรกรรมสูงในห่วงโซ่การตลาด พวกเขามีจำกัดการเข้าถึงทางกายภาพ และทางการเงินทรัพยากรที่จำกัดโอกาสของพวกเขาเพื่อเพิ่มขนาดของพวกเขาการผลิต ลดต้นทุนธุรกรรม และลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมเสียง 1 นอกจากนี้ยังสร้างความปัญหาของมาตราส่วนสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพด้านการตลาด มีการขาดทรัพยากรสำหรับการขนส่ง การจัดการ และแก้ไขการลงทุน บนกลับกัน ไม่ต่อรองราคาพลังงาน และส่งผลต่อกระจายไม่เท่ากันของค่าในหมู่นักแสดงในห่วงโซ่การตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับฤดูกาล และเปื่อยได้เกษตรอาจทำให้รุนแรงปัญหา สถานการณ์จะยิ่งแย่ข้อบังคับการทำลายในตลาดโลกที่ซ้ำเติมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นของสถานการณ์ดังกล่าว แม้ว่าการบทบาทของตลาดพัฒนาห้องทำงานได้อย่างกว้างขวางรู้จัก อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงทำตลาดเหล่านี้ประโยชน์ของเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม 1ชุมชนสนับสนุนการเกษตร (CSA), เป็นแนวคิดที่นำมาโดย Tuin Vander Jan ใน 1984 เป็นวิธีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อทั้งฟาร์มผลิต และการตลาดที่เชื่อมต่อเกษตรกรด้วยผู้บริโภคหรือผู้ถือหุ้นเพื่อให้เชื่อมต่อช่องว่างระหว่างการทั้งสองด้านเพื่อให้บรรลุเป้าหมายคู่ของการตลาดทางตรง และความยั่งยืน จากมือมาก CSA ผู้ถือหุ้นที่โดยทั่วไปความสนใจในการกำเนิดของอาหารเช่นในการความคืบหน้าและปัญหาของการเกษตร ซื้อหุ้นของการผลิตภัณฑ์จากฟาร์มก่อนฤดูกาล คงให้เกษตรกร มีโอกาสที่จะมีสมาธิในการผลิตยัง มันสามารถตีความเป็นการเพิ่มค่าแรงในฟาร์ม และสำหรับการเชื่อมโยงระหว่างฟาร์มและสภาพแวดล้อมในการหุ้นด้าน 2, 3สด เครื่องปลูก อาหารอินทรีย์ในความต้องการชุมชนผลลัพธ์เพิ่มเติมพึ่งพาอาหารที่ผลิตในท้องถิ่นค่อนข้างกว่าพึ่งพาเมื่อผลิตนำเข้า ผลCSA เกษตรกรมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์และการตลาดวิสาหกิจ โดยลดการใช้สารเคมีนำเข้าแนะนำใหม่ผลิตภัณฑ์อาหารและใช้นวัตกรรมเทคนิคการตลาดนอกจากนี้ พวกเขาพยายามที่จะรักษาของพวกเขาสำหรับความผันผวนทางเศรษฐกิจโดยบรรเทาผลกระทบผลดีต่าง ๆ เช่นราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการใช้ที่ดินที่แข่งขันและราคาต่ำสำหรับผลิตภัณฑ์ 4วันนี้ ผู้ผลิตมีมากขึ้นและอื่น ๆ หาสังคมใหม่ และพื้นฐานทางเศรษฐกิจเพื่อการเกษตรเช่น CSA เนื่องจากระดับที่สูงเกษตรอินทรีย์ซึ่งคาดว่าจะเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต้นทุนสูง การผลิต และเพิ่มเติมควบคู่ศัตรูพืชเนื่องจากไม่สามารถแทรกแซงกับปุ๋ยและ biocide ประยุกต์ 5, 6เรืองนี้ในใจ ผู้ผลิตสามารถได้รับประโยชน์ โดย CSA ผ่านการตลาด และลดต้นทุนการผลิต โดยตรง และยังแพร่กระจายความเสี่ยงมากกว่าผู้ถือหุ้นทั้งหมด ดังนั้น ในกรณีของความล้มเหลวในการเพาะปลูกผู้ถือหุ้นทั้งหมดแทนที่เป็นเพียงเกษตรกรซับขาดทุน ในเปิด รางวัลจากปีโดดเด่นไม่เท่าไปชาวนาแต่แทนที่จะให้ผู้ถือหุ้นทั้งหมดเช่น ปรับปรุงทางการเงินความน่าเชื่อถือ ลดกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของราคาในขณะที่มีเพิ่มเติมการซื้อวัสดุและอุปกรณ์ได้แก่แบบข้อดีของเช่นวิธีการ การตั้งชื่อเพียงไม่กี่ 3, 4 โดยทั่วไปเงื่อนไข แนวคิดของ CSA สอดคล้องกับลักษณะต่อไปนี้:ผลิตจัดหาตามฤดูกาลของสด ราคาสมเหตุสมผลกว่าปลูกโดยใช้วิธีการอินทรีย์); ความสัมพันธ์โดยตรงกับชาวนาอาหารเติบโต โอกาสที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับเกษตรและท้องถิ่นระบบนิเวศ การเชื่อมต่ออาคารชุมชนกับเกษตรกรเพื่อนบ้านและภูมิทัศน์ 7

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนาเผชิญข้อจำกัดมากมาย

ตลาดผลิตภัณฑ์ของพวกเขา เป็นผลจากต้นทุนธุรกรรมสูงใน
ห่วงโซ่การตลาด พวกเขามี จำกัด การเข้าถึงทางกายภาพและทางการเงิน
ทรัพยากรที่จำกัดโอกาสของพวกเขาเพื่อเพิ่มขนาด
ผลิต ลดต้นทุนธุรกรรม และลงทุนในเทคโนโลยีและประสิทธิภาพ
เสียงสิ่งแวดล้อม 1 มันยังสร้าง
ปัญหาของขนาดสำหรับการตลาดที่มีประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ที่มีการขาด
ทรัพยากรสำหรับการขนส่ง , การจัดการและการแก้ไขเศรษฐกิจ บน
มืออื่น ๆ , ขาดอำนาจการต่อรอง และผลที่ตามมา
ไม่เท่ากันกระจายในหมู่นักแสดงในห่วงโซ่มูลค่าตลาด
โดยเฉพาะกับฤดูกาล และสินค้าเกษตรที่เน่าเสียง่าย ,
อาจจะเพิ่มปัญหา สถานการณ์เริ่มเลวร้าย
กับกฎระเบียบที่ไม่เป็นธรรมในตลาดทั่วโลกซึ่ง
เติมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น สถานการณ์ แม้ว่าบทบาทของการทำงานตลาดเพื่อการพัฒนาอย่างกว้างขวาง
ยอมรับ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงทำตลาด
เหล่านี้ได้รับประโยชน์ทั้งเกษตรกรและสภาพแวดล้อม 1 .
ชุมชนสนับสนุนการเกษตร ( CSA ) เป็นแนวคิดที่นำโดย แจน แวนเดอร์
tuin ในปี 1984เป็นวิธีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งฟาร์ม การผลิต และการตลาดที่เชื่อมต่อเกษตรกร ผู้บริโภค หรือผู้ถือหุ้น
เพื่อเชื่อมช่องว่างระหว่าง
2 ข้าง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ฝาแฝดของการตลาดทางตรงและ
ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง , CSA ผู้ถือหุ้นที่
มักจะสนใจต้นกำเนิดของอาหารของพวกเขาเช่นเดียวกับใน
ความคืบหน้าและปัญหาของเกษตรการซื้อหุ้นของ
ผลิตภัณฑ์จากฟาร์มก่อนฤดูกาล นี้อาจให้
เกษตรกรที่มีโอกาสที่จะมุ่งเน้นการผลิต .
ยังสามารถตีความเป็นความชื่นชมที่แข็งแกร่งสำหรับฟาร์มและ
สำหรับเชื่อมโยงระหว่างฟาร์มและสภาพแวดล้อมบน
ผู้ถือหุ้น 2 ด้าน 3 .
ความต้องการสดที่ปลูกในท้องถิ่นอาหารอินทรีย์ใน
ผลของชุมชนต่อไป อาศัยอาหารที่ผลิตในประเทศค่อนข้าง
มากกว่าการพึ่งพาผลิตนำเข้า ผลที่ตามมา ,
เกษตรกร CSA มีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์และตลาดที่หลากหลาย โดยการลดการใช้เคมี

แนะนำผลิตภัณฑ์อาหารใหม่และใช้เทคนิคการตลาดนวัตกรรม
นอกจากนี้ พวกเขาพยายามที่จะรักษาความแปรปรวนทางเศรษฐกิจของพวกเขาโดย
โครงการต่าง ๆ มีผล เช่น ราคาที่ดินเพิ่มขึ้น
ที่เกิดจากการแข่งขันการใช้ที่ดิน และราคาต่ำสำหรับผลิตภัณฑ์ของตน 4 .
วันนี้ผู้ผลิตมีมากขึ้นและมากขึ้นและแสวงหาสังคมใหม่
พื้นฐานเศรษฐศาสตร์สำหรับการเกษตรเช่น CSA เนื่องจากระดับสูงของ
ความเสี่ยงของเกษตรอินทรีย์ ซึ่งสันนิษฐานว่า เกี่ยวข้องกับ
ค่าใช้จ่ายสูง การผลิตและจะอ่อนแอมากขึ้นเพื่อ pests
เนื่องจากไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงด้วยการใส่ปุ๋ยและไบโอไซด์ 5 , 6 .
แบกนี้ในใจ , ผู้ผลิตสามารถได้รับประโยชน์โดย CSA ผ่าน
การตลาดทางตรงและต้นทุนการผลิตลดลง และยังแพร่กระจายไปทั่ว
ความเสี่ยงผู้ถือหุ้นทั้งหมด ดังนั้น ในกรณีของการล้มเหลว
ผู้ถือหุ้นทั้งหมดแทนที่จะเป็นเพียงเกษตรกรดูดซับความเสียหาย ใน
เปิดรางวัลจากพืชดีเด่น ปี ไม่เพียง แต่ไป
ชาวนาแต่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดเป็นอย่างดี การปรับปรุงงบการเงิน
ความน่าเชื่อถือ ลดความกังวลเรื่องความผันผวนของราคา ในขณะที่มีตัวเลือกมากขึ้น
ซื้ออุปกรณ์และวัสดุบางส่วนของ
ข้อดีของวิธีการดังกล่าวเพื่อชื่อเพียงไม่กี่ 3 , 4 ในแง่ทั่วไป
, ความคิดของ CSA ตรงกับลักษณะดังต่อไปนี้ :
อุปทานของฤดูกาลสด ราคาสมเหตุสมผลผลิต ( บ่อยๆ
ปลูกโดยใช้วิธีการอินทรีย์ ) ; ความสัมพันธ์โดยตรงกับชาวนา
อาหารที่เพิ่มขึ้น ; โอกาสที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการเกษตรและระบบนิเวศน์ท้องถิ่น
; ชุมชนเชื่อมอาคารกับเกษตรกร
เพื่อนบ้านและภูมิทัศน์ 7