The main goal of this study was to

The main goal of this study was to compare the component and yield of biodiesel obtained by different methods from different sludge in a wastewater treatment plant. Biodiesel was produced by ex-situ and in-situ transesterification of scum, primary and secondary sludge respectively. Results showed that scum sludge had a higher calorific value and neutral lipid than that of primary and secondary sludge. The lipid yield accounted for one-third of the dried scum sludge and the maximum yield attained 22.7% under in-situ transesterification. Furthermore the gas chromatography analysis of fatty acid methyl esters (FAMEs) revealed that all sludge contained a significant amount of palmitic acid (C16:0) and oleic acid (C18:1) regardless of extraction solvents and sludge types used. However, the difference lay in that oleic acid methyl ester was the dominant component in FAMEs produced from scum sludge while palmitic acid methyl ester was the dominant component in FAMEs from primary and secondary sludge. In addition, the percentage of unsaturated fatty acid ester in FAMEs from scum sludge accounted for 57.5–64.1% of the total esters, which was higher than the equivalent derived from primary and secondary sludge. In brief, scum sludge is a potential feedstock for the production of biodiesel and more work is needed in the future.

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

เป้าหมายหลักของการศึกษานี้เปรียบเทียบส่วนประกอบและผลผลิตของไบโอดีเซลที่ได้รับ โดยวิธีการแตกต่างจากตะกอนในการบำบัดแตกต่างกันได้ ไบโอดีเซลที่ผลิต โดยการเพิ่มในการวิเคราะห์และการวิเคราะห์อดีตของขยะ ตะกอนหลัก และรองตามลำดับ ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่า ตะกอนขยะมีค่าปริมาณสูงและไขมันที่เป็นกลางมากกว่าที่ตะกอนหลัก และรอง ผลผลิตไขมันคิดเป็นหนึ่งในสามของตะกอนขยะแห้ง และผลผลิตสูงสุดบรรลุ 22.7% ภายใต้ในการวิเคราะห์เพิ่ม นอกจากนี้ การวิเคราะห์ chromatography ก๊าซกรดไขมัน methyl esters (FAMEs) เปิดเผยว่า ตะกอนทั้งหมดประกอบด้วยจำนวนเงินที่สำคัญของกรด palmitic (C16:0) และ oleic กรด (C18:1) ไม่แยกหรือสารทำละลายและชนิดของตะกอนที่ใช้ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างวางที่เอส methyl oleic กรดเป็นส่วนประกอบหลักใน FAMEs ที่ผลิตจากขยะตะกอนในขณะที่กรด palmitic methyl เอสเป็นส่วนประกอบหลักใน FAMEs จากตะกอนหลัก และรอง นอกจากนี้ เปอร์เซ็นต์ของกรดไขมันในระดับที่สมเอสใน FAMEs จากตะกอนขยะคิดเป็น 57.5-64.1% esters รวม ซึ่งสูงกว่าเทียบเท่ากับมาจากตะกอนหลัก และรอง สังเขป ขยะตะกอนเป็นวัตถุดิบที่มีศักยภาพสำหรับการผลิตไบโอดีเซล และต้องทำงานเพิ่มเติมในอนาคต

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

เป้าหมายหลักของการศึกษาครั้งนี้เพื่อเปรียบเทียบองค์ประกอบและผลผลิตของไบโอดีเซลที่ได้รับโดยวิธีการที่แตกต่างจากตะกอนที่แตกต่างกันในระบบบำบัดน้ำเสีย ไบโอดีเซลที่ผลิตโดยอดีตแหล่งกำเนิดและ transesterification ในแหล่งกำเนิดของฝาตะกอนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่าตะกอนฝามีค่าความร้อนที่สูงขึ้นและไขมันที่เป็นกลางกว่าของตะกอนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ผลผลิตไขมันคิดเป็นหนึ่งในสามของตะกอนฝาแห้งและผลผลิตสูงสุดบรรลุ 22.7% ภายใต้ transesterification ในแหล่งกำเนิด นอกจากนี้การวิเคราะห์แก๊ส chromatography ของเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน (FAMEs) เปิดเผยว่าตะกอนทั้งหมดที่มีอยู่เป็นจำนวนมากของกรดปาล์มิติก (C16: 0) และกรดโอเลอิก (C18: 1) โดยไม่คำนึงถึงตัวทำละลายในการสกัดและประเภทที่ใช้กากตะกอน แต่ความแตกต่างอยู่ในที่เมทิลเอสเตอร์ของกรดโอเลอิกเป็นองค์ประกอบที่โดดเด่นใน FAMEs ที่ผลิตจากกากตะกอนฝาในขณะที่กรดปาล์มิติเมทิลเอสเตอร์เป็นองค์ประกอบที่โดดเด่นใน FAMEs จากกากตะกอนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา นอกจากนี้ร้อยละของเอสเตอร์ของกรดไขมันไม่อิ่มตัวใน FAMEs จากกากตะกอนฝาคิดเป็น 57.5-64.1% ของเอสเทอทั้งหมดซึ่งสูงกว่าเทียบเท่าที่ได้จากกากตะกอนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในช่วงสั้น ๆ ตะกอนฝาเป็นวัตถุดิบที่มีศักยภาพในการผลิตไบโอดีเซลและการทำงานมากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

เป้าหมายหลักของการศึกษานี้ก็เพื่อศึกษาส่วนประกอบและผลผลิตของไบโอดีเซลที่ได้โดยวิธีการต่าง ๆ จากต่างตะกอนในระบบบำบัดน้ำเสีย . ไบโอดีเซลที่ผลิตโดยวิธีและกระบวนการทรานส์เอสเทอริฟิเคชั่นของอดีตควบคู่ขยะ , ประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตะกอนตามลำดับผลการศึกษาพบว่าตะกอนขยะมีสูงกว่าค่าความร้อนและไขมันที่เป็นกลางกว่าของประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตะกอน การเก็บผลผลิตคิดเป็นหนึ่งในสามของขยะกากตะกอนแห้ง และผลผลิตสูงสุดภายใต้กระบวนการทรานส์เอสเทอริฟิเคชั่นได้ 22.7 % ควบคู่ .นอกจากนี้ แก๊สโครมาโทกราฟีการวิเคราะห์กรดไขมันเมทิลเอสเทอร์ ( FAMEs ) พบว่าตะกอนมีปริมาณกรดปาล์มิติก ( c16:0 ) และกรดโอเลอิก ( ที่ทำการ ) ไม่ว่าตัวทำละลายการสกัดและประเภทใช้ตะกอน อย่างไรก็ตามความแตกต่างในการวางที่เมทิลเอสเทอร์ของกรดโอเลอิกเป็นองค์ประกอบเด่นในดีผลิตจากกากขยะในขณะที่ acid กรดเมทิลเอสเทอร์คือส่วนประกอบเด่นในประถมศึกษาและมัธยมศึกษาสารจากตะกอน นอกจากนี้ ร้อยละของกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวในสารเอสเทอร์จากตะกอนขยะร้อยละ 57.5 และร้อยละ 64.1 สทั้งหมดซึ่งสูงกว่าเทียบเท่าประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่ได้มาจากตะกอน สังเขป กากขยะเป็นวัตถุดิบที่มีศักยภาพในการผลิตไบโอดีเซลและทำงานมากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต