ประวัติวันคริสต์มาส
คริสต์มาส หมายถึง "พิธีมิสซาของพระคริสต์หรือ วันสมโภชพระคริสตสมภพ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู เป็นวันหยุดทางศาสนาและวัฒนธรรม ประชากรหลายพันล้านคนทั่วโลกจัดการเฉลิมฉลองในวันที่ 25 ธันวาคม วันดังกล่าวเน้นปีพิธีกรรมของคริสต์ศาสนิกชนเป็นสำคัญ วันคริสต์มาสเป็นวันปิดเทศกาลเตรียมการรับเสด็จ(Advent) และวันเริ่มต้นเทศกาลพระคริสตสมภพ (Christmastide) สิบสองวันคริสต์มาสเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก และมีผู้ที่ไม่ใช่คริสต์ศาสนิกชนหันมาเฉลิมฉลองกันมากขึ้น และเป็นส่วนสำคัญในคริสต์มาสและฤดูวันหยุด
วันที่พระเยซูประสูติจริง ๆ นั้นไม่ทราบแน่ชัด แต่นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่คะเนไว้ว่าราว 2 ปีก่อน ค.ศ. และ ค.ศ. 7 ในช่วงต้นถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 4 ศาสนาคริสต์ตะวันตกกำหนดวันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งต่อมาศาสนาคริสต์ตะวันออกได้รับวันดังกล่าวไปด้วย มีทฤษฎีอธิบายว่า เหตุผลที่เลือกวันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันเฉลิมฉลองคริสตสมภพนั้นเพราะเป็นเวลาเก้าเดือนพอดีหลังคริสต์ศาสนิกชนสมัยแรกเฉลิมฉลองวันแม่พระรับสารหรือตรงกับวันเหมายันของโรมัน หรือเทศกาลฤดูหนาวเพเกินโบราณเพื่อยุติการเฉลิมฉลองเหล่านี้และแทนที่ด้วยการฉลองของคริสต์ศาสนิกชน
วันการเฉลิมฉลองในศาสนาคริสต์ตะวันออกแต่เดิม คือ วันที่ 6 มกราคม โดยเชื่อมโยงกับวันสมโภชพระคริสต์แสดงองค์ ในปัจจุบัน วันดังกล่าวยังเป็นวันเฉลิมฉลองสำหรับคริสตจักรอาร์มีเนียอะโพสโตลิกและในประเทศอาร์มีเนียซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จนถึง ค.ศ. 2011 ระหว่างปฏิทินเกรโกเรียนสมัยใหม่และปฏิทินจูเลียนที่เก่ากว่า มีวันคลาดเคลื่อนกันอยู่ 13 วัน ผู้ที่ยังใช้ปฏิทินจูเลียนหรือเทียบเท่าต่อไปจึงเฉลิมฉลองวันที่ 25 ธันวาคมและ 6 มกราคมที่ประชากรโลกส่วนใหญ่เฉลิมฉลอง ในวันที่ 7 มกราคมและ 19 มกราคมแทน ด้วยเหตุนี้ เอธิโอเปีย รัสเซีย ยูเครน มาเซโดเนียและมอลโดวาจึงเฉลิมฉลองคริสต์มาส ทั้งที่เป็นวันสมโภชของคริสต์ศาสนิกชนและที่เป็นวันหยุดราชการ ตามในปฏิทินเกรโกเรียนคือ วันที่ 7 มกราคม
การเฉลิมฉลอง
มี 39 ประเทศที่วันคริสต์มาสมิใช่วันหยุดราชการ (สีน้ำตาล) ส่วนประเทศไทย คริสต์มาสมิใช่วันหยุดราชการ แต่มีการเฉลิมฉลอง (observance)
วันคริสต์มาสเป็นเทศกาลหลักและวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มิใช่คริสต์ศาสนิกชน ในบางประเทศที่มิใช่คริสต์ ประเทศเหล่านี้รับคริสต์มาสเข้ามาระหว่างถูกปกครองเป็นอาณานิคม (เช่น ฮ่องกง) ส่วนในประเทศอื่น ประชากรค่อย ๆ รับเอาการเฉลิมฉลอง
วันที่จัดเทศกาล
นักเขียนคริสต์ศาสนิกชนยอมรับว่าคริสต์มาสเป็นวันประสูติของพระเยซูที่ถูกต้องเป็นเวลาหลายศตวรรษ นักบุญจอห์น คริสซอสตอมเทศนาในแอนติออกเมื่อประมาณ ค.ศ. 386 ซึ่งสถาปนาวันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมตามปฏิทินจูเลียนเพราะการตั้งครรภ์พระเยซู (ลูกา 1:26) ได้รับการประกาศระหว่างเดือนที่หกของการตั้งครรภ์ของเอลิซาเบธกับนักบุญยอห์นผู้ให้บัพติศมา (ลูกา 1:10-13) ดังที่บันทึกไว้จากพันธกิจซึ่งซาคาริยาส์กระทำในวันทดแทนบาป (Day of Atonement) ระหว่างเดือนที่เจ็ดของปฏิทินฮีบรู เอธานิมหรือตีซรี (เลวีนิติ 16:29, 1 พงษ์กษัตริย์ 8:2) ซึ่งตกอยู่ในเดือนกันยายนถึงตุลาคม[7]
การใช้ปฏิทินจูเลียน
คริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ รวมทั้งรัสเซีย จอร์เจีย ยูเครน มาเซโดเนีย มอนเตเนโกร เซอร์เบีย และเขตอัครบิดรกรีกแห่งเยรูซาเล็มกำหนดวันที่งานสมโภชโดยใช้ปฏิทินจูเลียนที่เก่ากว่า วันที่ 25 ธันวาคมตามปฏิทินจูเลียน ซึ่งปัจจุบันตรงกับวันที่ 7 มกราคมในปฏิทินเกรโกเรียนที่นานาชาติใช้กัน อย่างไรก็ดี คริสต์ศาสนิกชนออร์โธด็อกซ์อื่น เช่น ศาสนจักรกรีซ โรมาเนีย แอนติโอก อเล็กซานเดรีย อัลเบเนีย ฟินแลนด์ และศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ในอเมริกา เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ เริ่มใช้ปฏิทินจูเลียนที่ได้รับการปรับปรุงในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งตรงกับปฏิทินเกรโกเรียนพอดี[5]
การฉลองการประสูติของพระเยซู
คริสต์ศาสนิกชนเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูผ่านทางนางมารีย์สาวพรหมจารีว่าเป็นการบรรลุคำทำนายพระเมสสิยาห์ของคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม[33] โดยคัมภีร์ไบเบิลได้บันทึกเรื่องราวซึ่งอธิบายเหตุการณ์การประสูติของพระเยซู แตกต่างกันเป็นสองเวอร์ชันตามมุมมองของผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่าน โดยพบในพระวรสารนักบุญมัทธิว คือ มัทธิว1:18 และพระวรสารนักบุญลูกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกา 1:26 และ 2:40 ตามบันทึกเหล่านี้ พระเยซูประสูติแต่นางมารีย์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากโยเซฟ สามีของเธอ ในเมืองเบธเลเฮม
การประดับตกแต่ง
ประเพณีการประดับตกแต่งเป็นพิเศษในวันคริสต์มาสนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีบันทึกว่าในกรุงลอนดอน การประดับตกแต่งเป็นประเพณีในวันคริสต์มาสสำหรับทุกบ้าน และทุกโบสถ์ประจำเขตแพริชต้อง "ตกแต่งด้วยโอ๊กโฮล์ม ไอวี เบย์ลอเรลและอะไรก็ตามที่ฤดูกาลนี้ในช่วงปีให้เพื่อเป็นสีเขียว ใบไอวีรูปหัวใจกล่าวกันว่าเป็นสัญลักษณ์การเสด็จมายังโลกมนุษย์ของพระเยซู
สีของคริสต์มาสแต่โบราณ คือ เขียวและแดง ส่วนสีขาว เงินและทองก็ได้รับความนิยมเช่นกัน สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งทรงหลั่งในการถูกตรึงบนกางเขน สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในไม้ไม่ผลัดใบ ซึ่งไม่เสียใบในฤดูหนาว
ต้นคริสต์มาสถูกมองว่าเป็นการทำให้ประเพณีและพิธีกรรมเพเกินรอบเหมายันเป็นคริสเตียน ซึ่งรวมถึงการใช้กิ่งไม้ไม่ผลัดใบและการดัดแปลงการบูชาต้นไม้ของเพเกิน ตามข้อมูลของนักชีวประวัติสมัยคริสต์ศตวรรษที่แปด เอดดี สเตฟานัส นักบุญโบนิฟาส (ค.ศ. 634-709) ผู้เป็นมิชชันนารีในเยอรมนี หยิบขวานไปยังต้นโอ๊กที่อุทิศให้ธอร์และชี้ไปยังต้นเฟอร์ ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นวัตถุควรแก่การเคารพที่เหมาะสมกว่า เพราะมันชี้ไปยังสวรรค์และมีรูปทรงสามเหลี่ยม ซึ่งเขาว่าเป็นสัญลักษณ์ของตรีเอกภาพวลีภาษาอังกฤษ "ต้นคริสต์มาส" ได้รับบันทึกครั้งแรกใน ค.ศ. 1835 และแสดงให้เห็นการรับมาจากภาษาเยอรมัน ประเพณีต้นคริสต์มาสสมัยใหม่เชื่อกันว่าเริ่มต้นในเยอรมนีในคริสต์ศตวรรษที่ 18แม้หลายคนแย้งว่า มาร์ตินลูเธอร์เริ่มประเพณีดังกล่าวในคริสต์ศตวรรษที่ 16
กระบองเพชรคริสต์มาส ร่วมกับต้นคริสต์มาส ภายในบ้านอาจประดับตกแต่งด้วยพืชเหล่านี้ เ