Against the view that keeping ourse

Against the view that keeping ourselves healthy means making responsible choices, there is little convincing evidence, beyond the example of smoking control, that people who change their diet or lifestyle actually do live longer or have more quality of life than people who ‘live and let live’ and make no real attempt to live healthily. Consider a hypothetical example: an epidemiological study shows that vegetarians live longer than meat eaters. Such a study normally proves very little. This type of study usually falls well short of being a randomized controlled trial, the closest thing we have to a controlled ‘experiment’. The vegetarians may differ from the meat-eaters in many ways other than their choice of diet, e.g. religious beliefs, use of alcohol, social support. A second issue is that a statistical association between two variables such as a vegetarian diet and longevity never proves causality or allows a prediction about any particular individual case. A vegetarian could still die of stomach cancer and becoming a vegetarian will not necessarily lengthen the life of any specific person. Epidemiology is purely statistical science – it can never tell individuals what will happen if they do X, Y or Z, but only provide a statistical or probability statement.
Yet the assumption that we must ‘live well to be well’ is prevalent in contemporary society. The moral aspect of this assumption also leads to victim blaming. If people get ill it is often seen as ‘their own fault’ because they smoke, drink, eat a poor diet, fail to exercise or use screening services, do not cope with stress in a healthy way by joining a gym and so on. Health policy is run through with the blaming and shaming of individuals for their own poor health. The ‘smoking evil’ has been replaced by the ‘obesity evil’. A person who smokes, eat fatty foods, drinks alcohol and watches TV for many hours every day is represented as a ‘couch potato’. Fitzpatrick compares disease with sin, and health with virtue. Medicine is thereby portrayed as a quasi-religious quest gluttony, laziness and lust. Diets are seen as moral choices, in which a ‘balanced’ and healthy diet is a moral im perative.
We may like to believe in the fiction that we are free agents with self-determination. To what degree the people who are the targets for healthy eating campaigns have the resources to choose what they eat is a matter of concern. The majority of human activity is influenced by the social and economic environment, role models among family, friends or in the mass media. The herd instinct is as strong in humans as in bees, birds or sheep. Christakis and Flowler report evidence that there is a person-to-person spread of obesity. They evaluated a database containing a social network of 12,067 people from 1971 to 2003 and found clusters of obese persons at all time points, and the clusters extended to thee degrees of separation. A person’s chances of becoming obese was increased by 57 percent if he or she had a friend who became obese in a given interval. Network phenomena appear to be relevant to the biologic and behavioural trait of obesity, and obesity appears to spread through social ties. Social imitation in social networks seems to be as an important determinant of health as any individual decision to live a healthy life. A successful approach, social cognitive theory, is based on this assumption
The built environment, the sum total of objects placed in the natural world by human beings, is equally important to the social one. The ‘toxic environment’ propels people towards unhealthy behaviours and causes large amounts of mortality and illness. People become overweight and obese because they inhabit an obesogenic

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

กับมุมมองที่ตนเองรักษาสุขภาพวิธีทำการเลือกผู้รับผิดชอบ มีน้อยดูหลักฐาน นอกเหนือจากตัวอย่างของการควบคุมการสูบบุหรี่ ว่า คนที่เปลี่ยนอาหารหรือวิถีชีวิตของพวกเขาจะอยู่นาน หรือมีเพิ่มเติมคุณภาพชีวิตมากกว่าคนที่ 'ถ่ายทอดสด และให้สด' และทำจริงไม่พยายามอยู่ยองใย พิจารณาตัวอย่างสมมุติ: การศึกษาความแสดงว่า มังสวิรัติอยู่นานกว่า eaters เนื้อ การศึกษาปกติพิสูจน์น้อยมาก การศึกษาชนิดนี้มักจะตกดีขาดกำลังเป็น randomized ควบคุมทดลอง สิ่งใกล้เคียงที่สุดที่เราต้องการควบคุม 'การทดลอง' มังสวิรัติอาจแตกต่างจากเนื้อ-eaters ในหลายวิธีไม่ใช่ทางเลือกของอาหาร เช่นความเชื่อทางศาสนา การใช้แอลกอฮอล์ การสนับสนุนทางสังคม ประเด็นสองคือ ว่า ความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างสองตัวแปรเช่นอาหารมังสวิรัติและอัดไม่เคยพิสูจน์ causality หรือช่วยให้การคาดการณ์เกี่ยวกับการแต่ละกรณี แต่อาหารมังสวิรัติยังตายของมะเร็งกระเพาะอาหาร และเป็น อาหารมังสวิรัติจะไม่จำเป็นต้องยืดชีวิตของบุคคลใด ๆ ระบาดวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์หมดจดสถิติ – มันไม่สามารถบอกคนจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาทำ X, Y หรือ Z แต่ให้คำสั่งทางสถิติหรือความน่าเป็นได้อัสสัมชัญที่ว่า เราต้อง 'อยู่ด้วยจะดี' ยัง มีแพร่หลายในสังคมร่วมสมัย ด้านคุณธรรมของอัสสัมชัญนี้ยังนำไปสู่เหยื่อ blaming ถ้าคนป่วยก็มักจะเห็นเป็น 'ข้อบกพร่องของตนเอง' เพราะเขาสูบบุหรี่ ดื่ม กินอาหารไม่ดี ไม่ออกกำลังกายหรือการใช้บริการการตรวจคัดกรอง ไม่รับมือกับความเครียดในทางสุขภาพ โดยการเข้าร่วมการออกกำลังกายและการ นโยบายสุขภาพคือรันผ่าน blaming และ shaming ของบุคคลในตนเองสุขภาพไม่ดี 'ร้ายสูบบุหรี่' ได้ถูกแทนที่ โดย 'โรคอ้วนชั่ว' คน smokes กินอาหารไขมัน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และนาฬิกาทีวีหลายชั่วโมงทุกวันจะแสดงเป็น 'โซฟามัน' ฟิทซ์แพทริกเปรียบเทียบโรคกับบาป และสุขภาพ ด้วยคุณธรรม จึงมีเซ็กส์ยา gluttony เควสกึ่งศาสนา ความขี้เกียจ และลัสท์ อาหารจะเห็นเป็นตัวเลือกทางศีลธรรม ซึ่งอาหาร 'สมดุล' และมีสุขภาพดีเป็น perative im คุณธรรม เราอาจอยากเชื่อในนิยายแบบที่เราเป็นตัวแทนฟรี ด้วยตนเอง ในระดับใดผู้ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมีราคาทรัพยากรเลือกกินอะไรเป็นเรื่องของความกังวล กิจกรรมที่มนุษย์ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพล โดยแวดล้อมสังคม และเศรษฐกิจ บทบาทรุ่นในครอบครัว เพื่อน หรือสื่อมวลชน สัญชาตญาณฝูงจะแข็งแกร่งในมนุษย์ในผึ้ง นก หรือแกะ Christakis และ Flowler รายงานหลักฐานว่า มีการแพร่กระจายที่เกิดของโรคอ้วน พวกเขาประเมินฐานข้อมูลที่ประกอบด้วยเครือข่ายทางสังคมของคน 12,067 จาก 1971 2003 และพบกลุ่มของคนอ้วนที่จุดเวลา และคลัสเตอร์การขยายทั้งหลายองศาของการแยก โอกาสของคนที่กลายเป็นอ้วนถูกเพิ่มขึ้น โดยร้อยละ 57 ถ้าเขาหรือเธอมีเพื่อนที่กลายเป็นอ้วนในช่วงที่กำหนด ปรากฏการณ์เครือข่ายต้องเกี่ยวข้องกับติดอุบัติ และพฤติกรรมของโรคอ้วน และโรคอ้วนที่ปรากฏแพร่กระจายผ่านความสัมพันธ์ทางสังคม เทียมทางสังคมในสังคมดูเหมือนจะเป็นดีเทอร์มิแนนต์เป็นสำคัญสุขภาพเป็นการตัดสินใจใด ๆ แต่ละชีวิตมีสุขภาพดี วิธีประสบความสำเร็จ ทฤษฎีการรับรู้ทางสังคม เป็นไปตามนี้การสร้างสภาพแวดล้อม ผลรวมผลรวมของวัตถุที่อยู่ในธรรมชาติ โดยมนุษย์ เป็นสิ่งสำคัญกับสังคม 'พิษสิ่งแวดล้อม' propels คนที่มีต่อพฤติกรรมที่ไม่แข็งแรง และเป็นสาเหตุการตายและการเจ็บป่วยจำนวนมาก คนที่ เป็นภาวะอ้วนเนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ obesogenic

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

กับมุมมองที่การรักษาตัวเองหมายถึงการตัดสินใจเลือกที่มีสุขภาพดีมีความรับผิดชอบมีหลักฐานที่น่าเชื่อเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นอกเหนือจากตัวอย่างของการควบคุมการสูบบุหรี่ที่ว่าคนที่เปลี่ยนอาหารหรือการดำเนินชีวิตของพวกเขาจริงจะอยู่อีกต่อไปหรือมีคุณภาพมากขึ้นของชีวิตกว่าคนที่ 'ที่อยู่อาศัยและปล่อยให้ สด 'และทำให้ไม่มีความพยายามที่แท้จริงในการรักษาสุขภาพ พิจารณาตัวอย่างเช่นสมมุติ: การศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่ามังสวิรัติอยู่นานกว่ากินเนื้อสัตว์ การศึกษาดังกล่าวได้ตามปกติพิสูจน์ให้เห็นน้อยมาก ประเภทของการศึกษาครั้งนี้มักจะตกดีสั้นของการสุ่มทดลองสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดที่เราต้องควบคุม 'ทดลอง' มังสวิรัติอาจแตกต่างจากเนื้อกินในหลาย ๆ วิธีอื่นที่ไม่ใช่ทางเลือกของอาหารเช่นความเชื่อทางศาสนาการใช้งานของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์การสนับสนุนทางสังคม ประเด็นที่สองคือการที่ความสัมพันธ์ทางสถิติระหว่างสองตัวแปรเช่นการรับประทานอาหารมังสวิรัติและยืนยาวไม่เคยพิสูจน์เวรกรรมหรือช่วยให้การคาดการณ์เกี่ยวกับกรณีบุคคลใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มังสวิรัติอาจจะยังคงตายจากโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและกลายเป็นมังสวิรัติจะไม่จำเป็นต้องยืดอายุของบุคคลใด ๆ ที่เฉพาะเจาะจง ระบาดวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ทางสถิติอย่างหมดจด - มันไม่สามารถบอกบุคคลที่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาทำ X, Y หรือ Z แต่เพียง แต่ให้คำสั่งทางสถิติหรือความน่าจะเป็น.
แต่สมมติฐานที่ว่าเราจะต้อง 'อยู่อย่างดีจะดี' เป็นที่แพร่หลายในสังคมร่วมสมัย . ด้านคุณธรรมของสมมติฐานนี้ยังนำไปสู่เหยื่อโทษ ถ้าคนป่วยก็มักจะเห็นเป็นความผิดของตัวเองของพวกเขาเพราะพวกเขาสูบบุหรี่ดื่มกินอาหารที่ไม่ดีล้มเหลวในการออกกำลังกายหรือใช้บริการตรวจคัดกรองไม่รับมือกับความเครียดในทางสุขภาพโดยการเข้าร่วมออกกำลังกายและอื่น ๆ นโยบายสุขภาพจะดำเนินการผ่านกับโทษและบัดสีของบุคคลสำหรับสุขภาพของตัวเองไม่ดี 'การสูบบุหรี่ความชั่วร้าย' ได้รับการแทนที่ด้วย 'โรคอ้วนความชั่วร้าย' คนที่สูบบุหรี่กินอาหารไขมันดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และดูโทรทัศน์เป็นเวลาหลายชั่วโมงทุกวันจะแสดงเป็น 'ที่นอนมันฝรั่ง' ฟิทซ์เปรียบเทียบกับโรคบาปและสุขภาพที่มีคุณธรรม แพทย์เป็นภาพจึงเป็นเสมือนการแสวงหาศาสนาเกียจคร้านตะกละและความต้องการทางเพศ อาหารที่ถูกมองว่าเป็นทางเลือกทางศีลธรรมซึ่ง 'สมดุล' และอาหารที่มีสุขภาพดีเป็นคุณธรรม im perative.
เราอาจต้องการที่จะเชื่อในนิยายที่เราเป็นตัวแทนอิสระด้วยความมุ่งมั่นในตนเอง กับสิ่งที่การศึกษาระดับปริญญาคนที่มีเป้าหมายสำหรับแคมเปญการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพมีทรัพยากรที่จะเลือกสิ่งที่พวกเขากินเป็นเรื่องของความกังวล ส่วนใหญ่ของกิจกรรมของมนุษย์ที่ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมทางสังคมและเศรษฐกิจแบบอย่างในหมู่ครอบครัวเพื่อนหรือเพื่อนในสื่อมวลชน สัญชาตญาณฝูงเป็นที่แข็งแกร่งในมนุษย์ในขณะที่ผึ้งนกหรือแกะ Christakis และหลักฐานที่รายงาน Flowler ว่ามีคนสู่คนการแพร่กระจายของโรคอ้วน พวกเขาได้รับการประเมินฐานข้อมูลที่มีเครือข่ายทางสังคมของผู้คน 12,067 1971-2003 และพบว่ากลุ่มของคนอ้วนที่จุดเวลาทั้งหมดและกลุ่มขยายไปยังเจ้าองศาของการแยก โอกาสของคนที่จะกลายเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 57 ถ้าเขาหรือเธอมีเพื่อนที่กลายเป็นโรคอ้วนในช่วงเวลาที่กำหนด ปรากฏการณ์เครือข่ายดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับลักษณะทางชีววิทยาและพฤติกรรมของโรคอ้วนและโรคอ้วนที่ดูเหมือนจะแพร่กระจายผ่านทางความสัมพันธ์ทางสังคม การเลียนแบบทางสังคมในเครือข่ายทางสังคมที่ดูเหมือนว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญของสุขภาพการตัดสินใจของแต่ละบุคคลใด ๆ ที่จะมีชีวิตที่มีสุขภาพดี วิธีการที่ประสบความสำเร็จทฤษฎีองค์ความรู้ทางสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของสมมติฐานนี้
สร้างสภาพแวดล้อมที่ยอดรวมของวัตถุที่อยู่ในโลกธรรมชาติโดยมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างเท่าเทียมกันในสังคมหนึ่ง สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ 'ผลักดันประชาชนที่มีต่อพฤติกรรมที่ไม่แข็งแรงและทำให้เกิดจำนวนมากของการตายและการเจ็บป่วย กลายเป็นคนที่มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเพราะพวกเขาอาศัยอยู่ obesogenic

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

กับมุมมองที่ทำให้ตนเองมีสุขภาพดี หมายถึง การตัดสินใจเลือกที่รับผิดชอบ มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือน้อย นอกเหนือจากตัวอย่างของการควบคุมการสูบบุหรี่ ผู้ที่เปลี่ยนอาหาร หรือ วิถีชีวิตของพวกเขาก็อยู่ยาว หรือมีคุณภาพของชีวิตมากกว่าคนที่อยู่และปล่อยให้มีชีวิต " และทำให้ไม่มีความพยายามที่จะรักษาสุขภาพด้วย พิจารณาตัวอย่าง :การศึกษาทางระบาดวิทยาพบว่า เจ อยู่ได้นานกว่า พวกกินเนื้อ เช่นการศึกษาปกติจะน้อยมาก การศึกษาประเภทนี้มักจะตกสั้นของการเป็นดีทดลองควบคุมแบบสุ่มใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องควบคุม ' ทดลอง ' มังสวิรัติอาจแตกต่างจากเนื้อ eaters ในหลายวิธีนอกเหนือจากการเลือกของพวกเขาจากอาหาร เช่น ความเชื่อทางศาสนา การใช้แอลกอฮอล์แรงสนับสนุนทางสังคม ปัญหาที่สองก็คือสถิติความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวแปร เช่น อาหารมังสวิรัติ และชีวิตไม่เคยพิสูจน์ว่า หรือช่วยให้คำทำนายเกี่ยวกับกรณีบุคคลใดโดยเฉพาะ มังสวิรัติอาจจะตายด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร และการเป็นมังสวิรัติจะไม่จําเป็นต้องยืดชีวิตของบุคคลโดยเฉพาะใด ๆระบาดวิทยาคือหมดจดสถิติวิทยาศาสตร์–มันไม่สามารถบอกได้ บุคคลจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาทำ X , Y หรือ Z แต่เพียงให้ข้อมูลทางสถิติหรือความน่าจะเป็นงบ .
ยังสมมติว่าเราต้องอยู่ได้เป็นอย่างดี ' เป็นที่แพร่หลายในสังคมร่วมสมัย ด้านคุณธรรม จริยธรรม ของสมมติฐานนี้ยังนำไปสู่โทษเหยื่อ .ถ้าคนป่วยก็มักจะเห็นเป็นความผิดของเขาเอง เพราะเขาสูบ ดื่ม กิน อาหารที่ไม่ดี ขาดการออกกำลังกาย หรือใช้บริการคัดกรองไม่ได้รับมือกับความเครียดในทางสุขภาพโดยการเข้าร่วมโรงยิมและ นโยบายสุขภาพเป็นวิ่งผ่าน blaming และ shaming ของบุคคลเพื่อสุขภาพที่ไม่ดีของตนเอง ' สูบบุหรี่ ' ได้ถูกแทนที่โดยความชั่วร้าย ' โรคอ้วน 'คนที่สูบบุหรี่จัด กินอาหารไขมัน , เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และโทรทัศน์นาฬิกาเป็นเวลาหลายชั่วโมงทุกวันจะแสดงเป็น ' คนขี้เกียจ ' ฟิทซ์แพทริคเปรียบเทียบโรคกับความบาป และสุขภาพ ด้วยคุณธรรม ยา คือ ว่า เป็นกึ่งศาสนา จึงแสวงหาความตะกละเกียจคร้านและตัณหา อาหารถือเป็นทางเลือกทางจริยธรรม ซึ่งใน ' ' ที่สมดุลและมีสุขภาพดีเป็นคุณธรรม im ค้าที่มี่ .
เราอาจจะเชื่อในเรื่องที่เราเป็น ตัวแทน ฟรี กับ ในการตัดสินใจด้วยตัวเอง เพื่อการศึกษาระดับปริญญาสิ่งที่คนที่เป็นเป้าหมายสำหรับแคมเปญการรับประทานมีสุขภาพดีมีทรัพยากรที่จะเลือกสิ่งที่พวกเขากิน เป็นเรื่องของความกังวล ส่วนใหญ่ของกิจกรรมของมนุษย์ที่เป็นผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้นแบบของครอบครัว เพื่อน หรือสื่อฝูงสัญชาตญาณแรงในมนุษย์ เช่น ผึ้ง นก หรือ แกะ christakis และรายงาน flowler หลักฐานว่ามีคนระบาดของโรคอ้วน พวกเขาประเมินฐานข้อมูลที่มีเครือข่ายทางสังคมของ 12067 ผู้คนจาก 2514 ถึง 2003 และพบกลุ่มของคนอ้วนที่จุดเวลาทั้งหมดและกลุ่มขยายท่านองศาของการแยกคนโอกาสที่จะอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 57 ถ้าเขาหรือเธอมีเพื่อนที่เป็นเด็กอ้วนในช่วงเวลาที่กําหนด . ปรากฏการณ์เครือข่ายปรากฏ เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมและลักษณะทางชีววิทยาของโรคอ้วน และโรคอ้วนดูเหมือนจะแพร่กระจายผ่านทางความสัมพันธ์ทางสังคมการเลียนแบบในสังคมเครือข่ายทางสังคมที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งกำหนดสุขภาพเป็นบุคคลใดตัดสินใจที่จะมีชีวิตที่มีสุขภาพดี วิธีการที่ประสบความสำเร็จ , ทฤษฎีการรับรู้สังคม ขึ้นอยู่กับสมมติฐานนี้
สร้างสภาพแวดล้อมโดยรวมของวัตถุอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ ที่สำคัญอย่างเท่าเทียมกันในสังคมหนึ่ง' ' ที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมขับเคลื่อนคนพฤติกรรม unhealthy และทำให้จำนวนมากของการเสียชีวิตและเจ็บป่วย คนอ้วน และอ้วนเพราะพวกเขาอาศัยอยู่เป็น obesogenic