The history of Singapore dates to t

The history of Singapore dates to the 11th century. The island rose in importance during the 14th century under the rule of Srivijayan prince Parameswara and became a port until it was destroyed by Acehnese raiders in 1613

During World War II, Singapore was conquered and occupied by the Japanese Empire from 1942 to 1945. When the war ended, Singapore reverted to British control, with increasing levels of self-government being granted, culminating in Singapore's merger with the Federation of Malaya to form Malaysia in 1963. However, social unrest and disputes between Singapore's ruling People's Action Party and Malaysia's Alliance Party resulted in Singapore's separation from Malaysia. Singapore became an independent republic on 9 August 1965.

Facing severe unemployment and a housing crisis, Singapore embarked on a modernisation programme that focused on establishing a manufacturing industry, developing large public housing estates and investing heavily on public education. Since independence, Singapore's economy has grown by an average of nine percent each year. By the 1990s, the country had become one of the world's most prosperous nations, with a highly developed free market economy, strong international trading links, and the highest per capita gross domestic product in Asia outside of Japan.[1]

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

ประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์วันที่ไปในศตวรรษที่ 11 เกาะเพิ่มขึ้นในความสำคัญในช่วงศตวรรษที่ 14 ภายใต้การปกครองของเจ้าชาย Parameswara ศรีวิชัยและกลายเป็นพอร์ตจนกว่ามันจะถูกทำลายจากการบุก Acehnese ใน 1,613

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองสิงคโปร์ก็เอาชนะและยึดครองโดยจักรวรรดิญี่ปุ่น 1942-1945 เมื่อสงครามสิ้นสุดลง, สิงคโปร์หวนกลับไปที่การควบคุมของอังกฤษ,ที่มีการเพิ่มระดับของรัฐบาลเองที่ได้รับสูงสุดในการควบรวมกิจการของสิงคโปร์กับสหพันธ์มลายาแบบมาเลเซียในปี 1963 แต่ความวุ่นวายทางสังคมและข้อพิพาทระหว่างบุคคลที่การกระทำของสิงคโปร์คนปกครองและพรรคพันธมิตรของมาเลเซียส่งผลในการคัดแยกของสิงคโปร์จากประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์กลายเป็นสาธารณรัฐอิสระเมื่อ 9 สิงหาคม 1965.

เผชิญการว่างงานอย่างรุนแรงและวิกฤติที่อยู่อาศัย, สิงคโปร์ลงมือโปรแกรมปรับปรุงใหม่ที่เน้นการสร้างอุตสาหกรรมการผลิต, การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดินสาธารณะขนาดใหญ่และการลงทุนอย่างหนักในการศึกษาของรัฐ ตั้งแต่ความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ได้เติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยของสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ในแต่ละปี โดยปี 1990,ประเทศได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในโลกที่มีระบบเศรษฐกิจตลาดการพัฒนาอย่างอิสระที่แข็งแกร่งเชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศและสูงสุดที่หัวขั้นต้นต่อผลิตภัณฑ์ในประเทศในเอเชียนอกประเทศญี่ปุ่น. [1]

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

วันประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ถึงศตวรรษ 11 เกาะในความสำคัญในช่วงศตวรรษ 14 ภายใต้การปกครองของเจ้า Srivijayan Parameswara และกลายเป็น พอร์ตจนกว่าจะถูกทำลาย โดยพยัคฆ์สำอางค์ผ่าอาเจะห์ใน 1613

ในระหว่างสงครามโลก สิงคโปร์เอาชนะ และครอบครอง โดยจักรวรรดิญี่ปุ่นจากปี 1942 1945 เมื่อสงครามสิ้นสุดลง สิงคโปร์แปลงกลับเป็นอังกฤษควบคุม ด้วยการเพิ่มระดับของ self-government กำลังให้ จบในการควบรวมกิจการของสิงคโปร์กับสหพันธ์มาลายามาเลเซียฟอร์มใน 1963 อย่างไรก็ตาม สังคมและความขัดแย้งระหว่างสิงคโปร์ของหุพรรคประชาชนและพรรคพันธมิตรของมาเลเซียให้สิงคโปร์แยกจากมาเลเซีย สิงคโปร์กลาย เป็นสาธารณรัฐอิสระบน 9 1965 สิงหาคม

หันหน้าไปทางว่างงานอย่างรุนแรงและวิกฤตที่อยู่อาศัย สิงคโปร์จำนวนบนโปรแกรม modernisation ที่เน้นสร้างอุตสาหกรรมการผลิต พัฒนานิคมเคหะใหญ่ และลงทุนอย่างมากในการศึกษาสาธารณะ ตั้งแต่ความเป็นอิสระ เศรษฐกิจของสิงคโปร์ได้เติบโตขึ้น โดยเฉลี่ยร้อยละเก้าแต่ละปี โดยปี 1990 ประเทศได้กลายเป็นหนึ่งของโลกเจริญมากที่สุดประเทศ เศรษฐกิจตลาดเสรีพัฒนาสูง เชื่อมโยงการค้านานาชาติที่แข็งแรง และผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อ capita ในประเทศสูงที่สุดในเอเชียนอกญี่ปุ่น[1]

ผลลัพธ์ (ไทย) 3:

ประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์วันที่ในช่วงศตวรรษที่ 11 เกาะแห่งนี้ก็ลุกขึ้นมาอยู่ในความสำคัญในระหว่างช่วงศตวรรษที่ 14 ตามกฎข้อนี้ของ parameswara สมัยอาณาจักรศรีวิชัยแสดง Prince และกลายเป็นท่าเรือจนกว่าได้ถูกทำลายโดย Raiders acehnese ใน 1613

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองสิงคโปร์ก็เอาชนะได้และเมื่ออยู่ในบริเวณโดยญี่ปุ่นจาก 1942 ในปี 1945 เมื่อสงครามสิ้นสุดลงสิงคโปร์กลับมาเพื่อควบคุมบริติชพร้อมด้วยการเพิ่มระดับของการปกครองตนเองได้รับสงครามทางศาสนาในควบรวมกิจการของประเทศสิงคโปร์กับ สภา ของ, Malaya Hotel ,ในรูปแบบมาเลเซียในปี 1963 . แต่ถึงอย่างไรก็ตามข้อพิพาทและความไม่สงบทางสังคมระหว่างการดำเนินการของผู้ผลิตรายอื่นซึ่งเป็นของสิงคโปร์คนชนชั้นปกครองและพันธมิตรรายอื่นของประเทศมาเลเซียส่งผลให้ในการแยกของสิงคโปร์จากประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์กลายเป็นสาธารณรัฐอิสระในวันที่ 9 สิงหาคม 1965 .

หันหน้าเข้าหาการว่างงานอย่างรุนแรงและวิกฤติตัวที่ประเทศสิงคโปร์ในโปรแกรมความเจริญรุ่งเรืองที่ให้ความสำคัญในการสร้างอุตสาหกรรมการผลิตการพัฒนาหมู่บ้านสาธารณะขนาดใหญ่และการลงทุนอย่างมากในการศึกษาแก่สาธารณชน ตั้งแต่ได้รับเอกราชทางเศรษฐกิจของประเทศสิงคโปร์มีแนวโน้มเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 9 ของแต่ละปี โดย 1990 sประเทศที่ได้กลายเป็นหนึ่งในประเทศมากที่สุดแห่งความรุ่งเรืองของโลกพร้อมด้วยเศรษฐกิจการตลาดแบบไม่เสียค่าบริการได้พัฒนาเชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงและระดับสูงสุดต่อหัวของ ผลิตภัณฑ์ มวลรวม ภายใน ประเทศใน ภูมิภาค เอเชียทางด้านนอกของประเทศญี่ปุ่น.[ 1 ]