กฏเกณท์ในการวิเคราะห์หลักนิติศาสตร์
ท่านเป็นผู้ที่ได้รับมรดกด้านแนวคิดของสำนักคิดหรือสถาบันการศึกษาอิสลามแห่งเมืองกูฟะฮฺ ซึ่งมีการวางกฏเกณท์หรือหลักการศึกษาและวิเคราะห์หลักนิติศาสตร์อิสลาม ดังนี้ คือ
1. อาศัย อัลกุรอาน สุนนะฮฺ และทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ในการให้คำชี้ขาดด้านนิติศาสตร์เป็นหลักตามลำดับท่านกล่าวว่า “ฉันจะปฏิบัติตามอัลกุรอาน ตราบใดที่ฉันพบว่ามีระบุอยู่ในนั้น หากไม่แล้วฉันก็จะปฏิบัติตามที่ระบุอยู่ในสุนนะฮฺ หากฉันไม่พบอยู่ในทั้งสอง ฉันก็จะปฏิบัติตามทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ฉันจะเลือกเอาทัศนะที่ฉันพอใจและเห็นด้วย
2. เคาะบัรวาหิดตามทัศนะของอบูหะนีฟะฮฺ เคาะบัรวาหิดหมายถึงหะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่ถึงระดับมุตะวาติร อิมามอบูหะนีฟะฮฺได้วางข้อแม้ต่างๆในการรับเอาเคาะบัรวาหิดเพื่อการวิเคราะห์หุกมหรือหลักนิติศาสตร์ดังนี้คือ
2.1 ต้องไม่ค้านกับการปฏิบัติของนักรายงาน หมายความว่า หากเนื้อหาของเคาะบัรวาหิดส่วนใดเกิดค้านกับการปฏิบัติของนักรายงานเคาะบัรดังกล่าวก็ให้ยึดตามการปฏิบัติของนักรายงานนั้นไม่ใช่ปฏิบัติตามเคาะบัรที่ได้รายงานไว้ เพราะหากเขาไม่รู้ถึงจุดบกพร่องของเคาะบัรที่ได้รายงานไว้ แน่นอนเขาก็ต้องปฏิบัติตามนั้น
2.2 ต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้ เพราะความจำเป็นดังกล่าวทำให้เป็นที่รู้จักกันในหมู่ชนและมีการรายงานที่มากมายอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อมีเคาะบัรวาหิดเกี่ยวกับสิ่งดังกล่าวจึงถือว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รายงานนั้นบกพร่อง
2.3 ต้องไม่ค้านกับหลักการเปรียบเทียบ(กียาส) และนักรายงานเคาะบัรวาหิดต้องเป็นคนที่แตกฉานในด้านนิติศาสตร์ เมื่อใดที่เคาะบัรวาหิดเพียบพร้อมด้วยข้อแม้ทั้งสามดังกล่าว จึงจะสามารถยึดไว้เป็นหลักในการวิเคราะห์เพื่อให้คำชี้ขาดในด้านนิติศาสตร์ได้ ถึงแม้ว่าจะมีสายงายงานที่อ่อนก็ตาม และรายงานดังกล่าวจะมีน้ำหนักมากกว่ากิยาส และนี่คือบุคลิกเฉพาะของแนวคิดหรือวิธีการวิเคราะห์ด้านนิติศาสตร์ของมัซฺฮับหะนะฟีย์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับหะดีษที่มีสายรายงานที่อ่อนมากกว่ากิยาส