เคนอิจิ โอมาเอะ (Kenichi Ohmae) นักคิด นักวิชาการ และที่ปรึกษาทางธุรกิจ ชาวญี่ปุ่นได้ศึกษาวิเคราะห์และคาดการณ์ผลของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ทางเศรษฐกิจและสังคมไว้ในหนังสือ "โลกไร้พรมแดน: The Borderless World" มีใจความสรุปได้ว่า โลกในอนาคตจะเป็นโลกที่พรมแดนจะหมดความหมายลง การเคลื่อนย้ายของเงินทุน การกระจายของข่าวสารข้อมูลสารสนเทศทั้งทางการค้า และการลงทุนจะเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายและไม่ถูกสะกัดกั้นด้วยเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศอีกต่อไป การเคลื่อนย้ายปัจจัยทางการผลิตสามารถกระทำได้อย่างเสรี และแนะนำให้องค์การธุรกิจปรับปรุงโครงสร้างและระบบการจัดการใหม่3 เพื่อให้การดำเนินงานสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ปรากฏว่าสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ได้เกิดขึ้นอย่างแม่นยำ ทำให้ทุกคนเริ่มให้ความสนใจ และให้ความสำคัญกับความคิดของเขามากขึ้น
เคนอิจิชิ โอมาเอะ ได้แต่งหนังสืออีกเล่มชื่อ "การสิ้นสุดของความเป็นรัฐชาติ: The End of the Nation State" ซึ่งเป็นแนวคิดที่พัฒนาต่อเนื่องจาก การเกิดขึ้นของโลกไร้พรมแดน โดยคาดการณ์ว่าจากสิ่งแวดล้อมและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงเวลาผ่านมา เป็นผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในทศวรรษนี้คือ ปรากฏการณ์ที่บทบาทของรัฐชาติ (Nation State) ในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนจะลดความสำคัญลง โดยจะมีสิ่งเกิดขึ้นมาทดแทนใหม่และมีอิทธิพลอย่างมากคือ ภูมิภาครัฐ (Region State) ซึ่งเป็นการรวมตัวกันเพื่อร่วมมือทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น การเกิดขึ้นของ สหภาพยุโรป หรือเรียกชื่อย่อว่า กลุ่มอียู ที่ปัจจุบันมีเงินสกุลยูโร (Euro) ใช้ร่วมกันอย่างเป็นทางการ โดยกำหนดให้เป็นเงินสกุลหลักสกุลเดียวที่ใช้ภายในประเทศสมาชิก การเคลื่อนไหวล่าสุดมีการจัดประชุมเพื่อขยายจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอีก สิบประเทศ ทำให้มีประชากรรวมกันมากกว่า 430 ล้านคน ซึ่งจะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ โดยมีกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นประชากรที่มีกำลังซื้อสูงมาก การรวมตัวดัง กล่าวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในหลายด้าน เช่น ความเสี่ยงที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีในอดีตจะไม่ปรากฎอีกต่อไป ปริมาณการค้าระหว่างประเทศสมาชิกของกลุ่มอียูจะมีเพิ่มมากขึ้น การเคลื่อนย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศทำได้สะดวกมากขึ้น เป็นผลทำให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทั้งในภาครัฐบาล เอกชน และประชาชนในฐานะผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ศตวรรษที่ 21 เป็นการก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่เป็นเศรษฐกิจโลก (Global Economy) อย่างแท้จริง
ระบบเศรษฐกิจที่เป็นเศรษฐกิจโลกนี้ จะมีปัจจัยที่มีพลังขับเคลื่อนและผลักดันสำคัญ 4 ประการ ซึ่งนักบริหารควรนำมาศึกษาวิเคราะห์เพื่อประกอบการตัดสินใจ คือ
1. การลงทุน (Investment) การเคลื่อนย้ายของสินค้า และ เงินทุนจะไม่ถูกสกัดกั้นด้วยข้อจำกัดของรัฐชาติอีกต่อไป กฎ ระเบียบ ข้อบังคับและการกีดกันต่างๆ จะถูกยกเลิกการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนจะเป็นปรากฏการณ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สังเกตได้จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมภายในประเทศต่างๆที่เกิดขึ้นจากการลงทุนทางตรง การเคลื่อนย้ายของเงินลงทุน และปัจจัยในการผลิตที่มีความเสรีมากขึ้น ทำให้การไหลเวียนของเงินทุนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีความคล่องตัวมากขึ้น จากธรรมชาติของเงินทุนที่เคลื่อนย้ายตลอดเวลา จากจุดที่มีผลตอบแทนต่ำไปยัง จุดที่มีผลประโยชน์ตอบแทนสูงกว่า ซึ่งแตกต่างจากน้ำที่จะไหลจากที่สูงไปหาที่ต่ำ ดังนั้นการจัดการไม่ว่าจะกระทำในฐานะบทบาทของรัฐบาล หรือ ธุรกิจ สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องทำเพื่อดึงดูดเงินลงทุนทางตรงให้เข้ามาในประเทศคือ การเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการให้ธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนในการลงทุนได้สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับองค์การ และประเทศอื่น ซึ่งอาจกระทำได้ด้วยการส่งเสริมให้มีการพัฒนารูปแบบธุรกิจที่สามารถแข่งขันได้ในอนาคต มีการพัฒนาทางการจัดการที่เหมาะสมไปพร้อมกับการสร้างให้เกิดพลวัตในการแข่งขัน โดยศึกษากลยุทธ์ของคู่แข่งขันเพื่อพัฒนาตัวเองให้ก้าวล้ำหน้ากว่า ด้วยการปรับปรุงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันตลอดเวลา การดำเนินการดังกล่าวทั้งหมดมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างให้เกิดผลตอบแทนในการ ลงทุนที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับองค์การอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ผลจากการกระทำคือ จะมีเงินลงทุนไหลเข้ามาลงทุนในประเทศ และองค์การนั้นตลอดเวลา มีสิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือ เงินทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเงินทุนของภาคเอกชน ซึ่งเป็นเงินที่สำรองไว้เพื่อการลงทุนด้วยการหาผลประโยชน์ ในรูปของกองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงานในองค์การของประเทศอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ ที่แสวงหาผลตอบแทนในการลงทุนที่สูงกว่าในตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก ปรากฏการณ์เช่นนี้แตกต่างจากในอดีตมากคือ ในอดีตเงินลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นเงินที่มาจากภาครัฐบาลซึ่งมักจะอยู่ในรูปของการติดต่อระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล เน้นในเรื่องการช่วยเหลือ สนับสนุน และส่งเสริมการพัฒนาประเทศมากกว่า ซึ่งไม่คำนึงถึงผลตอบแทนจากการลงทุนมากนัก ทำให้การเคลื่อนย้ายของเงินทุนมีน้อยเมื่อเทียบกับปัจจุบัน ดังนั้นการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศ จึงควรมุ่งแก้ปัญหาที่ทำให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ ซึ่งมีสาเหตุหลักสำคัญคือ ผลตอบแทนในการลงทุนที่ลดลง โดยแก้ไขได้ด้วยการพัฒนาให้เกิดความมุ่งมั่นในการเพิ่มผลิตภาพ และประสิทธิภาพขององค์การธุรกิจเพื่อให้มีผลประกอบการโดยรวมสูงขึ้น ทั้งนี้ควรมีหน่วยงานภาครัฐช่วยทำหน้าที่เป็นกลไกในการผลักดันและส่งเสริม ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนอกจากเป็นการสร้างให้ธุรกิจมีความเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนด้วย ซึ่งในท้ายที่สุดจะเป็นการสร้างให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันแบบยั่งยืน
2. อุตสาหกรรม (Industry) อุตสาหกรรมจะเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สร้างให้เกิดคุณค่าเพิ่ม การมุ่งเน้นงานวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างให้เกิดคุณค่า เป็นสิ่งที่องค์การธุรกิจต้องคำนึงถึงเป็นสิ่งแรก