The concept of bio-hydrogen generat

The concept of bio-hydrogen generation was also tested using
industrial process wastewaters such as palm oil mill effluent,
which resulted in 0.42 L biogas/g COD destroyed with a
hydrogen content of 57±2% at 7 days HRT [20]. While the
beer brewery wastewater yielded 0.47m3 biogas/kg COD destroyed
with a hydrogen content of 60% [21]. The anaerobic
acidogenesis of high strength rice winery wastewater resulted
in a hydrogen yield of 1.37–2.14 mol/mol-hexose with a hydrogen
content of 53–61% [22]. The bio-hydrogen generation
from starch wastewater was investigated at 55 ◦C for varying
pH (4–9) and starch concentrations (92–36.6 g/L). The result
showed a maximum hydrogen yield of 92 mL/g of starch at pH
6, while the maximum specific hydrogen production rate was
365 mL/gVSS d at pH 7 with hydrogen content of 60% [23].
The hydrogen production by Clostridium thermolacticum from
waste stream of dairy industry resulted in a specific hydrogen
production greater than 5 mmolH2 (g cell)
−1 h−1 [24]. In the
case of co-digestion of food waste with sewage in the ratio
87:13 resulted in a hydrogen production potential of 122.9 mL/g
carbohydrate-COD [25]. The kinetic experiment on hydrogen
producing bacteria was investigated using substrates like sucrose,
non-fat dry milk and food waste. The results showed that
the hydrogen yield was 234, 119 and 101 mL/g-COD, respectively
[26]. Whereas, the effect of acetylene and bromoethanesulfonate
(BES) inhibition on methanogenesis coupled with

ผลลัพธ์ (ไทย) 1:

แนวคิดของการสร้างไฮโดรเจนไบโอยังทดสอบโดยใช้wastewaters กระบวนการอุตสาหกรรมเช่นน้ำทิ้งโรงงานน้ำมันปาล์มซึ่งทำให้เกิดก๊าซชีวภาพ 0.42 L/g COD ที่ถูกทำลายด้วยการเนื้อหาไฮโดรเจน 57±2% ใน 7 วัน HRT [20] ในขณะเบียร์เบียร์เสียผลผลิตก๊าซ 0.47m3 กิโลกรัม COD ที่ถูกทำลายมีเนื้อหาไฮโดรเจน 60% [21] ไม่ใช้ออกซิเจนผล acidogenesis ของน้ำไวน์ข้าวความแข็งแรงสูงผลตอบแทนไฮโดรเจนของ 2.14-1.37 โมล/โมลเฮกโซสกับไฮโดรเจนเป็นเนื้อหาของ 53-61% [22] รุ่นไบโอไฮโดรเจนจากแป้ง น้ำเสียถูกสอบสวนที่ ◦C 55 สำหรับแตกต่างกันpH (4-9) และความเข้มข้นของแป้ง (92-36.6 g/L) ผลแสดงให้เห็นว่าผลตอบแทนสูงสุดไฮโดรเจนของ 92 mL/g ของแป้งที่ pH6 ในขณะอัตราการผลิตไฮโดรเจนสูงสุดเฉพาะ365 mL/gVSS d ที่ pH 7 กับเนื้อหาไฮโดรเจน 60% [23]การผลิตไฮโดรเจนจากเชื้อ Clostridium thermolacticum จากกระแสเสียของอุตสาหกรรมนมทำให้เกิดไฮโดรเจนเฉพาะผลิตมากกว่า 5 mmolH2 (เซลล์ g)−1 h−1 [24] ในเสียของตับยังช่วยย่อยอาหารร่วมกับน้ำในอัตราส่วน87:13 ส่งผลให้ศักยภาพการผลิตไฮโดรเจน 122.9 mL/gคาร์โบไฮเดรต-COD [25] ทดลองเดิม ๆ ในไฮโดรเจนผลิตแบคทีเรียถูกสอบสวนโดยใช้พื้นผิวเช่นซูโครสไม่แห้งนมและอาหารขยะ ผลลัพธ์พบว่าผลผลิตไฮโดรเจนได้ 234, 119 และ 101 mL/g-COD ตามลำดับ[26] ขณะ มีผลกับอะเซทิลีนและ bromoethanesulfonate(BES) inhibition on methanogenesis coupled with

ผลลัพธ์ (ไทย) 2:

แนวคิดของการสร้างไบโอไฮโดรเจนที่ได้รับการทดสอบโดยใช้น้ำเสียกระบวนการอุตสาหกรรมเช่นน้ำทิ้งจากโรงงานน้ำมันปาล์มซึ่งมีผลในการผลิตก๊าซชีวภาพ0.42 L / g COD ทำลายกับเนื้อหาไฮโดรเจน57 ± 2% ใน 7 วันตัวประกัน [20] ในขณะที่น้ำเสียโรงเบียร์เบียร์ให้ผล 0.47m3 ก๊าซชีวภาพ / กก. ซีโอดีที่ถูกทำลายมีปริมาณไฮโดรเจน60% [21] แบบไม่ใช้ออกซิเจนacidogenesis น้ำเสียโรงกลั่นเหล้าองุ่นข้าวมีความแข็งแรงสูงส่งผลให้ในอัตราผลตอบแทนของไฮโดรเจน1.37-2.14 โมล / mol-hexose กับไฮโดรเจนปริมาณ53-61% [22] รุ่นไบโอไฮโดรเจนจากน้ำเสียแป้งถูกตรวจสอบที่ 55 ◦Cที่แตกต่างกันสำหรับค่า pH (4-9) และความเข้มข้นของแป้ง (92-36.6 กรัม / ลิตร) ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าผลผลิตไฮโดรเจนสูงสุด 92 มิลลิลิตร / กรัมของแป้งที่ pH 6 ในขณะที่อัตราการผลิตก๊าซไฮโดรเจนที่เฉพาะเจาะจงสูงสุด365 มิลลิลิตร / gVSS d ที่ pH 7 ที่มีเนื้อหาไฮโดรเจน 60% [23]. การผลิตไฮโดรเจนจากเชื้อ Clostridium thermolacticum จากน้ำเสียของอุตสาหกรรมนมส่งผลให้ไฮโดรเจนเฉพาะการผลิตสูงกว่า5 mmolH2 (กรัมเซลล์) -1 H-1 [24] ในกรณีของผู้ร่วมการย่อยอาหารที่มีของเสียน้ำเสียในอัตราส่วน87:13 ส่งผลให้ศักยภาพการผลิตไฮโดรเจน 122.9 มิลลิลิตร / กรัมคาร์โบไฮเดรตซีโอดี[25] การทดลองเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในไฮโดรเจนแบคทีเรียที่ผลิตถูกตรวจสอบโดยใช้พื้นผิวเช่นซูโครสที่ไม่มีไขมันนมแห้งและเศษอาหาร ผลการศึกษาพบว่าผลผลิตไฮโดรเจนเป็น 234, 119 และ 101 มิลลิลิตร / กรัมซีโอดีตามลำดับ [26] ในขณะที่ผลกระทบของสารเคมีและ bromoethanesulfonate (บีอีเอส) ในการยับยั้ง methanogenesis ควบคู่ไปกับการ